วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เรียนรู้ระหว่างการเดินทาง

เมื่อเราเดินทางการพบเห็นสิ่งต่างๆ สร้างการเรียนรู้ได้ มีคำกล่าวว่า
"ผู้ได้อ่านหนังสือหมื่นเล่ม เดินทางหมื่นลี้ย่อมเป็นนักปราชญ์"(ขงจื้อ)
 วันที่ 23 พฤศจิกายน 2555 ผมมีกำหนดเดินทางจากจังหวัดอุบลราชธานี กลับบ้านที่จังหวัดลำปาง หลังจากเป็นวิทยากรในหลักสูตร BAR & AAR Workshop. ที่เขื่อนสิรินธร ออกเดินทางจากเขื่อนสิรินธรโดยรถยนต์ กฟผ. เวลา 06.50 น. น้องพามาส่งที่สนามบินนานาชาติอุบลราชธานีเวลา 07.30 น. Check-in เสร็จเรียบร้อยลาจากกัน น้องๆ เดินทางต่อไปยังจังหวัดขอนแก่น บอกน้องไม่ต้องห่วงเวลาขึ้นเครื่องบินประมาณ 08.30 น. เครื่องบินจะออกเวลา 09.00 น. และไปถึงจังหวัดเชียงใหม่เวลา 10.10 น. เมื่อถึงเวลา 08.50 น. มีประกาศจาก แอร์เอเชียว่าเครื่องบินล่าช้ากำหนดเวลาออกไหม่เป็นเวลา 10.50 น. ขณะนั้นคิดเพียงว่าไม่เป็นไรคงไปถึงบ้านลำปางไม่เกิน 14.00 น. เอากระเป๋า Load แล้วไม่เป็นไรมีเป้ใบเดียวกับคอมพิวเตอร์ก็เดินเตร่ในสนามบินไปและหาอาหารเช้าง่ายๆ รับประทานไปก่อน เลือกทานข้าวต่้มหมูจากร้านริมสุดด้านซ้ายมือ เหมือนข้าวสวยใส่น้ำต้มหมูพอแก้ขัดไปได้ นั่งรอพลางเล่นโทรศัพท์เชื่อมต่อ Wifi ของ กระทรวง ICT สมัครโดยใช้เลขที่บัตรประชาชน เชื่อมต่อได้เร็วพอสมควรอ่าน Email และเล่น Facebook ได้ เบื่อก็เดินไปรอบๆ ห้องพักรอมีคนร่วมชะตากรรมหลายร้อยคน บางคนเข้าไปรอด้านในห้องผู้โดยสารขาออก แล้วกลับออกมาใหม่
เวลา 10.30 น. มีประกาศว่าเนื่องจากต้องรอเครื่องบินขาเข้าเที่ยวบินจำเป็นต้องล่าช้ากำหนดการบินใหม่ยังไม่ระบุ ขอให้ผู้โดยสารมารับคูปองอาหาร มูลค่า 80 บาทได้ที่ Counter Check-in ผู้โดยสารเริ่มกระวนกระวาย มีผู้โดยสารท่านหนึ่งถึงกับอุทานว่าอะไรกันผมมีประชุมที่จังหวัดเชียงใหม่อย่างนี้เสียหายหมดอุตส่าห์เหมารถมาจากจังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่เช้าเพื่อเดินทาง และต่อด้วยระบุว่าเที่ยวบินของแอร์เอเชียเป็น FD ย่อมาจาก Flight Delay ท่านบอกว่าเพื่อนที่ประเทศสิงคโปร์เป็นผู้บอก มีผู้โดยสารอีกกลุ่มน่าจะเป็นดาราหรือนักร้องที่มีงาน Event ในจังหวัดเชียงใหม่ประมาณ 4 ท่าน รู้สึกมีอารมณ์ไม่พอใจมากพูดกันว่าน่าจะคืนตั๋วแล้วกลับไปเที่ยวจังหวัดอุบลราชธานีต่อดีกว่า ผมไปขอรับคูปองอาหารจากพนักงานภาคพื้นดินที่ Counter Check-in พนักงานระบุว่าใช้ได้ทุกร้านยกเว้นที่ร้านแบล็คแคนยอน ผมเดินไปดูรอบๆ มีหลายท่านได้นำไปแลกอาหารประเภทต่างๆ ผมสังเกตุดูมีร้านอาหารอยู่ประมาณสี่ร้านไม่รวมร้านแบล็คแคนยอน อาหารที่มีเกือบทุกร้านคือซาลาเปาและขนมจีบ นอกจากนั้นมีอาหารตามสั่งบ้าง ขนมเค็กบ้าง มีอยู่ร้านหนึ่งที่นำอาหารแช่แข็งปรุงสำเร็จของ CP เช่น สปาเก็ตตี้ เป็นต้น ซึ่งนำมาอุ่นแล้วจะขายราคาประมาณ 100 - 120 บาท ผม่ทานกาแฟสดร้อน 1 แก้ว ขนมจีบชุดเล็ก 4 ชิ้น และน้ำเปล่า 1 ขวด เป็นราคา 80 บาทพอดี คูปองนี้ร้านค้าไม่ทอนเงินสดให้เราต้องใช้ให้หมด บางคนบ่นว่าค่าเสียเวลาเราได้เพียงเท่านี้หรือ มีค่าเพียง 80 บาทเท่านั้นเอง
ผมสอบถามพนักงานแอร์เอเชียว่าเราจะได้ค่าเสียเวลาหรือไม่ เธอตอบว่า หากเราซื้อประกันมาจะได้รับค่าเสียหาย ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องประกันเท่าไรนักสอบถามน้องเพิ่มเติมว่าแล้วบัตรโดยสารของผมรวมค่าประกันด้วยหรือไม่ เธอตรวจสอบให้แล้วแจ้งว่าไม่มีค่ะ
เวลา11.30 น. มีประกาศว่ากำหนดเวลาออกใหม่เป็นเวลา 13.55 น. สอบถามพนักงานเธอบอกว่าเครื่องจากเชียงใหม่้ไม่มีต้องนำเครื่องจากกรุงเทพไปรับที่เชียงใหม่และจะมาถึงอุบลฯ ประมาณ 13.30 น. กำหนดเวลานี้แน่นอนแล้ว ผมแจ้งกับเธอว่าผมต้องการเบิกเงินที่ตู้ ATM ซึ่งภายในสนามบินมีเพียงตู้เดียวและเสีย เธอเอื้อเฟื้อพาไปส่งที่หน้า รพ.โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ซึ่งไม่ไกลจากสนามบินเท่าไรนัก ระหว่างรอเธอรับกลับอยู่ด้านหน้าโรงพยาบาลนั้นได้เห็นรถเข็นขายลูกชิ้นทอดหลายเจ้าจอดเรียงกันสังเกตุดูมีลูกชิ้นทอดแล้วมีผักสดไว้ให้ด้วยเมื่อลูกค้ามาซื้อลูกชิ้นจะเลือกหยิบผักสดไปด้วย เป็นการดีต่อสุขภาพเมื่อพนักงานแอร์เอเชียมารับได้สอบถามเธอ เธอเล่าว่ามีทุกเจ้าในจังหวัดอุบลและย้อนถามว่าที่อื่นไม่มีหรือ บอกเธอว่าที่จังหวัดลำปางไม่มี
กลับมาถึงสนามบินเวลา 12.30 น. หิวไปทานอาหารร้านเดิมเมื่อเช้า แต่เปลี่ยนเป็นข้าวราดผัดกระเพราหมูยอไข่ดาวและน้ำเปล่า 1 ขวด ราคา 80 บาทพอดี ทานเสร็จเข้าห้องน้ำแล้วเข้าไปรอในห้องผู้โดยสารขาออก ผ่านเครื่องตรวจต้องเอาคอมพิวเตอร์ออกจากกระเป๋าเหมือนที่สุวรรณภูมิ แต่ผ่านเครื่องทั้งที่มีสร้อยพระที่ผ่านเครื่องที่ไหนก็จะดังแต่ผ่านเครื่องที่สนามบินอุบลฯ ไม่ดัง ระหว่างรอเครื่องเหลือบไปเห็นร้านแบล็คแคนยอนที่ลูกค้า AIS จะได้เครื่องดื่มฟรี 1 แก้ว เลยใช้บริการฟรีซะ
เวลา 13.50 น. เรียกขึ้นเครื่องเห็นผู้ร่วมชะตากรรมต่างไปด้วยกันรวมทั้งกลุ่มดาราหรือนักร้องด้วย เครื่องถึงเชียงใหม่เวลา 15.30 น. ระหว่างรอกระเป๋าได้ติดต่อ TAXI Meter ในห้องผู้โดยสารขาเข้าเพื่อไปยังสถานีขนส่งอาเขตุ ราคา 170 บาท รับกระเป๋าแล้วออกมารอเป็นคิวที่ 13 รอประมาณ 15 นาทีมีรถมารับเดินทางไปถึง เวลา 16.00 น. TAXI ส่งที่อาเขตุ 3 เป็นสถานีรถปรับอากาศชั้น 1 สอบถามไม่มีรถที่แน่นอนต้องรอที่ว่างจึงจะขายตั๋วให้ เลยลากกระเป๋าข้ามมายัง อาเขตุ 2 ห่างกันประมาณ 100 เมตร ซื้อตั๋วรถตู้เชียงใหม่ลำปาง ราคา 71 บาท รถมีออกทุกหนึ่งชั่วโมง เที่ยวแรก 06.30 น. เที่ยวสุดท้าย 18.30 น. ผม่ได้รถเที่ยว 17.30 น. ต้องรอประมาณ 1 ชั่วโมง ไม่รู้จะไปไหนเพราะมีกระเป๋าเป็นตัวถ่วงนั่งรอเวลาประมาณ 17.20 น. รถมาถึง รถตู้นี้นั่งได้ 17 คน ข้างคนขับ 2 คน ข้างหลัง 5 แถวๆ ละ 3 คน ต้องเลือก(แย่่งกัน)ที่นั่งเอาเองขึ้นเป็นคนที่ 12 ได้ที่นั่งแกวที่ 2 คนขับรถตู้เป็นผู้หญิง กระเป๋าเดินทางวางตรงประตูทางขึ้นมีคนอื่นอีกคนเอากระเป๋าเดินทางมาเหมือนกันนึกว่าต้องเอาไว้ข้างบนแต่คนขับอาตั้งไว้ทั้งสองใบซ้อนกันตรงประตูทางขึ้น รถออกก่อนเวลาเล็กน้อย เย็นวันศุกร์รถแน่นถนนมาก จากเชียงใหม่มาลำพูนรถเยอะมาก เลยจากลำพูนรถน้อยลงมาถึงสถานีขนส่งลำปางเวลา 19.00 น. เหมาะรถสองแกวมายังบ้านพักตำบลพิชัย อำเภอเมืองลำปางห่างจากสถานีขนส่งลำปาง 18 ก.ม. ถึงบ้านเวลา 20.00 น.การเดินทางที่ยาวนานจบลงครั้งนี้ที่บ้าน ตลอดระยะทางเมื่อออกจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งผมจะรายงานให้ผู้ที่รอคอยได้ทราบว่าถึงไหนแล้วเพื่อให้ทั้งเขาและเราสบายใจคลายความกังวลใจ
มาถึงเชียงใหม่ช้ากว่าที่กำหนดเดิม 5 ชั่วโมงกว่า (จาก 10.10 น. มาถึง 15.30 น.) ตลอดเวลาของการเดินทางที่ยาวนานนี้ได้เรียนรู้ที่จะรอคอย รอเวลา รอกำหนดที่จะมาถึง พลางคำนึงว่าเรามีทางเลือกไหมทางเลือกที่จะทำให้ระยะทางและเวลาลัดสั้นถึงที่หมายตามปรารถนา ทางเลือกอาจมีมากกว่าหนึ่งทางแต่ทางที่ทำแล้วมีเพียงทางเดียวทางที่ทำแล้ว การตัดสินใจเหมาะสมในแต่ละครั้งแล้วและสิ่งที่ทำแล้วทำคืนไม่ได้
เป็นวันเวลาอันยาวนานสำหรับการเดินทางกลับ บอกกับผู้คนทั้งหลายว่า เวลาประกอบด้วยสิ่งสำคัญสองประการคืออดทนและรอคอยได้ บนพื้นฐานประการสำคัญคือเมตตา สิ่งนี้คือพื้นฐานการคิดของผมด้วยเช่นกัน อดทนและรอคอย ด้วยความเมตตา 
ชีวิตเป็นของที่ต้องพึ่งพาสิ่งภายนอก ถ้าเราพึ่งสิ่งภายนอกน้อยเพียงใดเราจะกำหนดสิ่งต่างๆ ใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้น ถ้าเราพึ่งพาสิ่งภายนอกมากเราก็จะกำหนดสิ่งต่างๆ ห่างไกลจากความเป็นจริงมากขึ้นด้วย

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

BAR & AAR แบบ 4 ทิศ และคิด 6 แบบ

หลังจากที่ออกแบบหลักสูตร BAR & AAR Workshop และได้นำเสนอไปทั้งหมด 3 รุ่น ในบริบทที่แตกต่างกันกับคนที่แตกต่างกัน ทำให้พบว่าผลของการนำเสนอนั้นแตกต่างกัน
ผมออกจากบ้านลำปางในวันอาทิตย์ 18 เพื่อไปขึ้นเครื่องที่เชียงใหม่ ในวันที่ 19 ไปถึงอุบลแล้วเดินทางต่อไปยังเขื่อนสิรินธร อบรมวันที่ 20-21 และต้องพักอีก 1 วันเพราะไม่มีเครื่องบินกลับ ทั้งนี้มีวิทยากรในพื้นที่ร่วมด้วย 2 ท่าน มีรถบริการตลอดเวลา

รุ่นแรกมีรายชื่อผู้เข้าอบรม 45 คน เป็นคนที่มีระดับแตกต่างกันตั้งแต่ผู้ปฏิบัติงานหน้างานจนกระทั่งถึงผู้บริหารระดับกลางมีเวลาอบรม 2 วัน เป็นการอบรมในสถานที่ทำงาน เมื่อถึงเวลาอบรมผู้บริหารเปิดอบรมถ่ายรูปร่วมกันอย่างคับคั่ง หลังจากนั้นมีผู้เข้าอบรมในการอบรมเมื่อ check-in 26 คน ในสถานปฏิบัติงานนั้นมีงานมากที่ผู้มีชื่อเข้าอบรมต้องดำเนินการ การตรวจประเมิน การจัดทำแผนยุททศาสตร์ การเตรียมงานใหญ่ที่จะมาถึงในอีกสองสามวันข้างหน้า ผู้คนหายไปเรื่อย จนเมื่อจบการอบรมมีผู้อยู่ร่วมเมื่อจบ 11 คน



ภายหลังพิธีเปิด วิทยากรของกิจกรรมนำ Check-in ด้วยรูปหัวใจ และมีกิจกรรมละลายน้ำแข็งบ้าง น้องนุ และน้องอ๋อย จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขื่อนอุบลรัตน์ จัดการให้ผู้เข้าร่วมได้พร้อมที่จะรับความรู้ การนำเสนอเริ่มด้วยการกล่าวถึงจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ โลกที่ยืนยาว เพื่อปรับทัศนะให้เห็นความเล็กและสั้นของชีวิต เพื่อเราจะได้มีเมตตา มักน้อย และถ่อมตน ตามด้วยความแตกต่างกันด้วยผู้นำสี่ทิศที่ใช้คำถามเพื่อให้แต่ละคนดูว่าตนเป็นแบบใดและให้สนทนากันในกลุ่มพวกเดียวกัน ช่วงนี้ไม่มีพลังเท่าใดสื่อความแตกต่างไม่ค่อยออก
มีน้อยก็สู้ทุกคนครับ

ตามด้วยคิด 6 แบบโดยใช้เพียงรูปหมวก 6 สี และบอกว่าแต่ละสีเกี่ยวกับอะไรโดยไม่มีรายละเอียด ในการพูดกันและคิดกันนั้น ไม่ได้แบ่งกลุ่มเนื่องจากมีคนจำนวนน้อยและมีภาระกิจเข้าๆ ออกๆ ตลอดการอบรม จึงรวมกันเป็นกลุ่มเดียวและหัวข้อที่พูดคุยกันคือเรื่องการจัดงานครบรอบที่จะมาถึงซึ่งทุกคนมีส่วนเกี่ยวข้อง การพูดคุยเรื่องที่มีข้อสรุปแล้วจึงไม่เกิดพลังในด้านความคิดเพราะทุกคนรู้ว่าจะไม่ได้รับการนำไปปฏิบัติ เมื่อจบการพูดคุยจึงแนะนำให้นำวิธีการนี้ไปใช้ในการทำงานในปีต่อไป แต่เสียดายที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าร่วม ในการสนทนากันผมเน้นเรื่องการหันหน้าเข้าหากัน และในการทำกิจกรรมเน้นเรื่อง 2 เปิด 4 ไม่ ผมมีอาจารย์อิ่งจาก ฝ่ายวางแผนและพัฒนาคุณภาพ สายงานผลิตไฟฟ้า มาช่วยให้สติ และช่วยบรรยายเวลาที่ผมอับจนความคิด รวมทั้งสะท้อนให้เพื่อการปรับปรุง อาจารย์อิ่งนำวงจรเรียนรู้มาให้คุยกัน
ยามเช้าวันที่ 21 พฤศจิกายน 2555 ริมอ่างรอใส่บาตรพระ

 จบวันแรกต่อวันที่สองด้วยกิจกรรมภาพต่อขยาย ภาพต่อขยายเป็นของอาจารย์สุนทร ดาวประเสริฐ จากโรงไฟฟ้าแม่เมาะเป็นผู้ค้นคิดและพัฒนามาเรื่อย ผมนำมาใช้เพราะเห็นว่ามีจุดเรียนรู้มากมายนำมาเป็นกิจกรรมได้ดี ก่อนถึงกิจกรรมเรานำให้ผู้เข้าร่วมเล่นเกม หาผู้นำ (สิบยี่สิบสามสิบสี่สิบ) เพื่อให้เขาได้ทดลองทำ BAR ไปกลายๆ

เมื่อเริ่มกิจกรรมวาดภาพ เราไม่ได้แยกห้องในการปฏิบัติกิจกรรม จึงอดมีการเปรียบเทียบกันไม่ได้ ในกิจกรรมผมเอา "ข้อเสนอแนะสำหรับการปฏิบัติครั้งต่อไป" (SARs) ของการอบรมระดับ 10 เมื่อปี 2554 มาใช้ให้ทบทวนก่อนการทำกิจกรรม (BAR) กิจกรรมไม่มีพลังจนวิทยากรไร้พลังไปด้วย เราไม่ได้นำเสนอการถอดบทเรียนอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน และไม่ได้ให้เขียน  "ข้อเสนอแนะสำหรับการปฏิบัติครั้งต่อไป" (SARs) แบบเฉพาะเจาะจงและนำไปปฏิบัติได้ จบกิจกรรมผมรู้สึกไม่ได้ผลตามที่ต้องการนำเสนอ

นำกลับมาคิดใหม่
ผมมาทบทวนดูและคิดว่าในรุ่นต่อไปจะต้องปรับปรุงอะไรบ้าง กลับมาถึงบ้านวันศุกร์ 23 เวลาประมาณ 20.00 น. ได้นอนบ้านสองคืนเช้าวันอาทิตย์ที่ 25 ต้องเดินทางไปเขื่อนศรีนครินทร์เพื่ออบรมอีก 2 รุ่น น้องสมพรมารับที่บ้าน 06.50 น. ก่อนเวลานัด ผมถึงเขื่อนศรีนครินทร์เวลาประมาณ 16.30 น.
ยามเช้าที่บ้านพัก เอราวัณ เลค รีสอร์ท เขื่อนศรีนครินทร์
รุ่นที่สองและสามเป็นการอบรมนอกสถานที่ที่ปฏิบัติงาน มีการเดินทางมาในตอนเช้าวันอบรมวันแรกและกลับในตอนเย็นของการอบรมวันที่ 2 ผู้ปฏิบัติงานที่เข้าอบรมมีระดับไม่ต่างกันมากนักและเป็นผู้บริหารระดับกลางของหน่วยงาน จำนวนทั้งสองรุ่นประมาณ 70 คน
รุ่นที่สองเรามีการทบทวนร่วมกันในเย็นวันอาทิตย์ 25 และเช้าวันจันทร์ 26 โดยผมนำบทเรียนจากการนำเสนอรุ่นแรกที่เขื่อนสิรินธร มาปรับ รับทราบว่าคณะผู้เข้าอบรมจะมาถึงประมาณ 8.30 น. วางแผนแล้วลงมือปฏิบัติ คราวนี้ผู้เตรียมผู้เข้าอบรมมีทั้งวิทยากรของพื้นที่เอง 3 ท่าน หมอตุ๊ เอนก ทอม คณะผู้จัด 3 ท่าน คุณอรณี น้องปู น้องช่างภาพอีกท่านที่มาช่วยทำให้ Notebook เข้า Internet ได้ มีรถบริการสองคัน น้องป้อม และกวี

เมื่อเวลามาถึงผู้เข้าอบรมมาถึง 9.30 น. พิธีเปิดและ Check-in จบเมื่อ 10.30 น. เราเริ่มช้ากว่าแผนที่วางไว้ 1 ชั่วโมง จบครึ่งวันแรกด้วยผู้นำสิ่ทิศโดยคำถามแบบเดียวกับที่เขื่อนสิรินธรและคุยแบบประเภทเดียวกัน พักเที่ยงมีการนำเสนอผ่อนพักตระหนักรู้ฉบับแม่ชีวัดพลัมแปลไทยประกอบ ประมาณ 22 นาที บ่ายต่อด้วยหมวก 6 แบบ สนทนาเรื่องภาพต่อขยายแต่ให้บริหารเวลาเองและจัดให้มีคุณอำนวย คุณลิขิตจดแล้วนำเสนอ และจบวันแรกด้วยวงจรเรียนรู้ ของอาจารย์พินิจ จากโรงไฟฟ้าแม่เมาะเป็นการสนทนาครั้งที่สาม ให้ผู้เข้าอบรมที่เป็นหัวหน้าสนทนากันว่าจะทำให้เกิดการเรียนรู้ในหน่วยงานได้อย่างไร ในการสนทนาผมไม่ได้เน้นเรื่องหันหน้าเข้าหากันและกติกามากนัก บรรยากาศการสนทนายังไม่ได้ยกระดับ มีคนหายไปจากการอบรมจำนวนหนึ่ง วันที่สองเราเริ่มด้วยเกมผู้นำตามด้วยกิจกรรมภาพต่อขยาย เน้น BAR แบบ SARs จบด้วยการนำเสนอ "ข้อเสนอแนะสำหรับการปฏิบัติครั้งต่อไป" (SARs) ผู้เข้าอบรมจากไปเวลา 15.30 น. หลังจาก Check-out ด้วยการกลับใจ ประธานการอบรม วศ.11 พงษ์เทพ อยู่ด้วยตลอดเป็นกำลังใจที่ดีมากสำหรับทุกฝ่าย ผมยังรู้สึกไม่มีพลังในการนำเสนอให้ได้ผล
ทบทวนอีกครั้ง อาจารย์อิ่ง และน้องวิทยากร ให้ความเห็นในการปรับผมทำ Powerpoint เพิ่มเติมและตัดบางส่วนออกไป

คราวนี้วางแผนว่าผู้เข้าอบรมจะมาถึงประมาณ 9.30 น. เป็นอย่างเร็วเราจะจบ Check-in และกิจกรรมประกอบในเวลา 10.30 น. เข้ามาแตะเรื่องโลกและจักรวาล มนุษย์และผู้นำสี่ทิศ

โดยปรับคำถามใหม่เป็นให้ตรงไม่กำกวม และให้สนทนาสัตว์ประเภทเดียวกันเราเป็นอย่างไร และจะมีสัมพันธ์กับสัวต์ต่างประเภทในฐานะ นาย เพื่อน ลูกน้องอย่างไร จบด้วยการนำเสนอของกลุ่ม ผู้เข้าอบรมมีกระทิง หมี และหนู เราแบ่งหนูออกเป็นสองกลุ่มเพราะมีเยอะมาก ตีระฆังแห่งสติและให้นั่งนิ่งๆ 1 นาทีก่อนคุย บรรยากาศเริ่มดีมีพลัง น่าจะมาถูกทางแล้ว จบครึ่งวันเข้ามี ผ่อนพักตระหนักรู้ เวลา 12.40 น. มีคนมาร่วมไม่มาก
ความคิดหกด้าน

 บ่ายเริ่มด้วยหมวก 6 ใบ คราวนี้เรานำหมวกและประเภทของหมวกมาให้สนทนากันทีละใบ โดยเราเป็นผู้กำหนดเวลาและเรื่องในการสนทนาให้ เวลาในการสนทนา 40 นาที แบ่งเป็น 5 นาทีแรกภาพรวมข้อตกลง 5 นาทีที่สองหมวกสีขาว ข้อมูลจริง 5 นาทีที่สาม หมวกสีแดง อารมณ์ความรู้สึก 5 นาทีที่สี่ หมวกสีเหลือง มองมุมบวกประโยชน์ 5 นาทีที่ห้า หมวกสีดำมองมุมลบอันตรายข้อควรระวัง 5 นาทีที่หก หมวกสีเขียว สร้างสรรค์หลุดโลก 5 นาที่ที่เจ็ด หมวกสีฟ้า ข้อสรุปสู่ความเป็นจริงที่จะนำไปปฏิบัติ 5 นาทีที่แปดสรุปนำเสนอ จบเบรคด้วยการนำเสนอ เริ่มเบรคบ่ายด้วยการทำกิจกรรมภาพต่อขยาย ซึ่งเราไม่ได้นำเกมผู้นำ(สิบยี่สิบสามสิบสี่สิบ)มาเล่นก่อน ให้นำ ข้อสรุปจากการคิดด้วยหมวก 6 ใบมาเป็นตัวตั้งอธิบายว่า หมวกแต่ละใบสัมพันธ์กับ ตาราง BAR แต่ละช่องอย่างไร เน้นการสนทนาด้วย 2 เปิด 5 ไม่

 จบวันแรกเวลาประมาณ 16.30 น. ด้วยภาพแรกของกิจกรรม ปล่อยให้ผู้เข้าอบรมพักและมาต่อกันในวันรุ่งขึ้น วิทยากรทบทวนร่วมกันเห็นพลังในการอบรมเพิ่ม วันนี้ฝนตก ผู้เข้าอบรมไม่หายจากห้อง เวลาทำกิจกรรมภาพต่อขยายปล่อยตามสบายไม่ให้เร่งเวลาเน้น  "ข้อเสนอแนะสำหรับการปฏิบัติครั้งต่อไป" (SARs) วิทยากรช่วยกันดูแลตอบคำถามให้กับผู้เข้าอบรม



วันที่สองเริ่มด้วยกิจกรรมภาพต่อขยายครั้งที่สอง วันนี้มีวิทยากรจากเขื่อนศรีนคริทร์มาช่วยอีก น้องจิ๋ว ช่วยดูแลกลุ่มได้เป็นอย่างดีละเอียดมากจนกลุ่มกระทิงที่เสร็จรวดเร็วต้องช้าลง และกว่าจะจบได้ก็ร่วม 11.00 น. ในครั้งที่สองนี้เรานำ  "ข้อเสนอแนะสำหรับการปฏิบัติครั้งต่อไป" (SARs) ที่เขียนไว้แล้วมาให้เป็นปัจจัยนำเข้าในการทำ BAR ครั้งที่สองด้วย จบกิจกรรมให้นำเสนอ  "ข้อเสนอแนะสำหรับการปฏิบัติครั้งต่อไป" (SARs) ของแต่ละกลุ่มแล้วมาสรุปเรื่องอุปสรรคของการเรียนรู้ ตามด้วยวงจรเรียนรู้ เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้บนพื้นที่ปลอดภัย ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ไม่ผิดซ้ำ จบครึ่งวันเวลา 12.15 น. 12.40 น. มาผ่อนพักตระหนักรู้ที่มีแต่ ผมผ่อนพักตระหนักรู้คนเดียว สังเกตุแล้วเลยจบก่อนจบเพื่อไม่ให้เสียเวลาใจผู้เข้าอบรมไปอยู่ที่จะกลับแล้ว กลับใจและ Check-out จบเวลา 14.30 น. ทุกรุ่นก่อนจากวิทยากรของแต่ละที่จะทุ่มเททำภาพระหว่างอบรมเป็นของขวัญให้ตอนจบ
ผมก็ได้รับของขวัญและค่าตอบแทนจากการมาบรรยายครั้งนี้ด้วย นั่นเป็นเพียงส่วนเดียวสิ่งที่ได้รับมากคือการเรียนรู้จากผู้เข้าอบรม อาจารย์และวิทยากรร่วมรวมทั้งผู้จัด ได้เรียนรู้บางอย่างจากการเดินทางด้วย ส่วนอาจารย์อิ่งและน้องจิ๋วได้เฉพาะของขวัญ แต่น้องๆวิทยากรของเขื่อนวชิราลงกรณ เป็นผู้จัดเองได้รับอย่างอื่นที่น่าจะคุ้มค่าในการร่วมงานกัน
ในการมาครั้งนี้ผมได้รับการติดต่อก่อนเกษียณ จากวิทยากร KM ของเขื่อนวชิราลงกรณ ซึ่งมีด้วยกัน 5 ท่าน ใหญ่ บุญนาค หมอตุ๊ เอนก และทอม ใหญ่ย้ายไปกรุงเทพด้วยภาระ ใหญ่เป็นคนติดต่อผมและทอมประสานต่อ ผมคิดหลักสูตรนี้จากแรงบันดาลใจเมื่อมีการทบทวนการสอน KM ให้วิทยากร KM ของสายรวฟ. เมื่อก่อนผมเกษียณ ครั้งนั้นมีการสอน BAR แบบ ชฟฟ.3 ใช้กิจกรรมตะเกียบ โดยหลังจากที่ผมเห็นน้องๆ บรรยายแล้วมีความรู้สึกว่า ถ้าเราเพิ่มพื้นฐานการคิดถึงทุกระบบ ปรับรูปแบบการคิด และกระตุ้นพัฒนาการสู่ความเป็นเลิศของบุคคลได้ การร่วมกันคิด การมุ่งไปสู่เป้าประสงค์เดียวกันจะง่ายขึ้น การทำ BAR AAR ลปรร. ล้วนต้องการทักษะการประสานกันในการเรียนรู้ร่วมกัน บนเครื่องมือที่ผมเล่ามานั้น ที่สำคัญคุณจะให้ใครทำอะไรควรให้เขาศรัทธาที่จะทำมิใช่บังคับด้วยตัววัดต่างๆ
ผมเก็บของมาตั้งแต่เช้าแล้วพร้อมเดินทางออกจากเขื่อนศรีนครินทร์มาเวลา 15.00 น. ผมมาพักที่หน้า สนก.กฟผ. ถึงประมาณ 19.00 น. ได้น้องอ้วนที่แสนดีจองที่พักให้ ออกเดินทางมากับกวี ตั้งแต่ 07.30 น. ถึงบ้านลำปาง 14.00 น. โดยสวัสดิภาพ
BAR & AAR แบบอาจารย์สุนทร ดาวประเสริฐ โรงไฟฟ้่าแม่เมาะ

ทุกครั้งที่ออกแบบหลักสูตรลักษณะนี้เมื่อลงมือนำไปปฏิบัติจริงผมมีปัญหาอยู่สองสามประการ ได้แก่ ประการแรก เวลาที่ใช้มักจะไม่พอ ผมออกแบบสิ่งที่นำเสนอต้องใช้เวลาดูแล้วหลักสูตรนี้ถ้าจะนำเสนอให้ครบถ้วนจริงผมคิดว่าประมาณ 4 วัน ประการที่สอง การใช้คำนำเสนอ ผมใช้ภาษายังไม่เหมาะกับผู้เข้ารับการอบรม ใช้ภาษาของวิทยากรมากกว่าภาษาของผู้เข้ารับการอบรม ประการที่สาม การใช้คำถาม ผมยังไม่สามารถใช้คำถามที่เจาะจงถามแล้วผู้เข้าอบรมไม่ต้องถามย้อนกลับ ประการสุดท้าย ถ้าผมไม่มีผู้ร่วมสะท้อน ไม่มีผู้คอยสังเกตุและช่วยปรับผมคงไปไม่รอด ผมยังต้องการทีมมากกว่าทีมต้องการผมกระมัง นี้เป็นปัญหาประการสุดท้ายที่คิดได้แต่เมื่อคิดได้อีกผมจะเรียนรู้อีกต่อไป
ที่เล่ามานั้นเป็นเพียงบางส่วน ของยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น หากระลึกได้อีกผมจะนำมาเสนอให้ทราบต่อ



วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พินิจมนุษย์สนทนา

อยู่คนเดียวระวังความคิด อยู่กับมิตรระวังคำพูด อันที่จริงทั้งอยู่คนเดียวและอยู่กับผู้อื่นต้องระวังทั้งความคิดและคำพูด ทั้งสองสอดประสานกันและใช้สิ่งเดียวกันเป็นสื่อ คือ ถ้อยคำ เราคิดเป็นถ้อยคำ เราพูดเป็นถ้อยคำ ในเวลาที่เราตื่นอยู่ แทบจะไม่มีเวลาใดที่ไม่มีถ้อยคำในความสำนึกรู้ของเรา เราสนทนากับตัวเราเองอยู่เสมอ มีผู้ทำวิจัยว่าเราใช้ถ้อยคำกับตนเองในวันหนึ่งประมาณ 55,000 คำ (หนังสือ "คุณเปลี่ยนได้" อมิตา อริยอัชฌา ห้างหุ้นส่วนสามัญมันนี่แอนด์มอร์ กรุงเทพ กรกฎาคม 2552 หน้า 24) และถ้อยคำนั้นเป็นไปในทางลบ 77 % (หรือ สี่หมื่นสองพันสามร้อยห้าสิบคำ) หากเราสนทนากับตัวเองด้วยถ้อยคำลบแล้ว การสนทนากับคนอื่นนั้นจะเป็นทำนองเดียวกันหรือไม่ สิ่งที่เราสนทนากับตนเองจะฝังอยู่ในเราและสะท้อนออกมาเมื่อได้จังหวะและเวลาใช่ไหม
ความคิดของเราวนเวียนอยู่กับถ้อยคำเหล่านั้น ในสำนึกเราอาจบอกว่าเราไม่ชอบสิ่งเหล่านี้เลย ไม่ชอบที่จะคิดลบเราคิดเรื่องดีๆ เสมอ ลองสังเกตุดู เมื่อเรามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมเราจะไม่หลุดออกจากสิ่งที่เป็นเรื่องดีๆ แต่เมื่อมีสิ่งเร้าเข้ามาเราอดที่จะโกรธไม่ได้ ทั้งที่เราว่าเราปฏิบัติธรรมยึดคำสอนของพระท่านที่ว่า "เหตุสมควรโกรธ...ไม่มีในโลก" (Webpage "เหตุสมควรโกรธ… ไม่มีในโลก" พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก วัดสุนันทวนาราม บ้านท่าเตียน ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี http://www.km.egat.co.th/blog/?q=node/61) แต่เราโกรธไปแล้วพึ่งนึกได้ทุกครั้ง
บางครั้งในความดีก็มีความไม่ดีอยู่ ในการคิดบวกก็มีการคิดลบอยู่ มันเป็นของคู่กันเป็นธรรมดาโลกมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น หากเรายังติดกับดักความดีและไม่ดี บวกและลบ... เราเพียงก้าวย่างบนทางขนานที่เชื่อมกันอยู่ เมื่อใดที่เราก้าวออกจากการตัดสินว่า ดี ไม่ดี บวก ลบ  เราจะผ่านออกมาจากการตัดสินนั้น ปล่อยให้สิ่งต่างๆ เข้ามาในพื้นที่เพื่อเรียนรู้โดยไม่ตัดสิน ไม่ดูถูกดูแคลนสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาให้บทเรียนกับเรา และสำคัญอย่างยิ่งเราไม่กลัวที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านั้นตามความเป็นจริง ไม่ใช่เพราะดีหรือไม่ดี บวกหรือลบ ชอบหรือชัง กล้าหรือกลัว
คุณชอบดูละครไหม ในละครมีการสนทนามากมายหลายแบบ แบบต่างๆ นั้นเป็นการสนทนาของมนุษย์ที่มีมาช้านานแล้ว ละครและชีวิตจริงก็ไม่ต่างกัน คุณเองก็สนทนาอยู่เสมอในแบบต่างๆ กับคนต่างๆ  แม้บางครั้งไม่ได้สนทนาเองคุณก็เป็นผู้ดูการสนทนา คุณเคยดูการสนทนาที่ฟังไม่รู้เรื่องในถ้อยคำไหม ลองดูละครต่างประเทศของประเทศที่คุณไม่เข้าใจถ้อยคำและไม่มีคำบรรยายในถ้อยคำของคุณ ไม่มีบริบทที่คุณคุ้นเคย โปรดเฝ้าดูคุณเห็นอารมณ์ความรู้สึกไหม โปรดดูตนเองเมื่อคุณไม่มีภูมิหลังเกี่ยวกับละครที่ดำเนินอยู่นั้น ละครที่สื่อด้วยถ้อยคำจะสื่ออารมณ์ความรู้สึกให้คุณได้ไหม ความว่างเปล่าเมื่อไม่เข้าใจถ้าคุณตั้งใจสังเกตุตัวตนของคุณ คุณจะเรียนรู้ได้มากขึ้นเมื่อพื้นที่เปิดและคุณกระหายที่จะเข้าใจมัน ทีนี้คุณลองกลับมาดูการสนทนาในแบบที่เป็นภาษาของคุณ ด้วยถ้อยคำที่เป็นสิ่งที่คุณรับฟังในภาษาของคุณ แต่คุณกลับอุทานว่า"พูดอะไรนะ ไม่รู้เรื่อง" ทำไมเป็นเช่นนั้น คุณเข้าใจในภาษานั้นแต่คุณกลับปฏิเสธมัน เกิดอะไรขึ้นกับเหตุการณ์เช่นนี้ มันเกิดเพราะพื้นที่ไม่เปิด ถ้อยคำที่ไม่ต้องการไม่มีพื้นที่ที่จะงอกงามได้ คุณเลือกที่จะฟังในสิ่งที่ต้องการ แต่ถ้อยคำนั้นไม่มาถึง สิ่งที่มาถึงจึงไม่ถูกเข้าใจ
บางครั้งในบางบริบทที่ต่างกัน คุณเป็นนายเขาเป็นลูกน้อง ลองย้อนไปในประสบการณ์ที่คุณผ่านมา การสนทนาที่ไม่เท่าเทียมกันและไม่ปรารถนาจะเข้าใจกันต่างคนต่างอยู่ในกรอบของตน คุณลองกลับบทบาทดูคุณเป็นลูกน้องเขา(อีกคน)เป็นนาย การสนทนาที่ไม่เท่าเทียมกันในความตระหนักรู้ย่อมดำเนินไปบนความไม่เข้าใจกัน ปัญหาของมนุษย์สนทนานั้นมีอีกมากมายหลายประการ การตีความตามประสบการณ์ตน การฟังอย่างไม่เห็นบริบท การจัดพวกแบ่งแยกกลุ่ม การดูถูกความคิดและถ้อยคำ การต่างความเชื่อ การต่างระดับของถ้อยคำในภาษาเดียวกัน การกลัวสิ่งที่จะตามมาหลังการสนทนา การปกปิดบางประการและอื่นๆ อีก สิ่งเหล่านี้ต้องการปัญญาแห่งความรักและเมตตา ที่จะสานการสนทนาของมนุษย์เข้าด้วยกัน
คุณเคยเข้าประชุมใช่ไหม เป็นการประชุมในรูปแบบต่างๆ กัน เช่น เพื่อระดมความคิดเพื่อแก้ปัญหาหรือทำสิ่งสร้างสรรค์ เพื่อแจ้งให้ทราบ หรือเพื่ออะไรอีกหลายประการ การประชุมเป็นพื้นที่สนทนากันในหลายแบบ ในพื้นที่สนทนานั้นคุณมีส่วนร่วมมากน้อยเพียงใด คุณผ่อนคลายหรือคับเครียด คุณมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นหรืออะไรผลักดันให้คุณแสดงความคิดเห็นนั้น มันเป็นพื้นที่สนทนาที่คุณต้องการเข้าร่วมหรือจำเป็นต้องเข้าร่วม






ในการดำรงชีวิตประจำวันการสนทนาเป็นพื้นฐานในการที่มนุษย์ใช้ติดต่อกัน แสดงความรู้สึก ความคิดเห็น ซึ่งเป็นไปตามความเชื่อ ค่านิยม ประเพณี หรือสิ่งใดๆ ที่มนุษย์ปลูกฝังกันมา ปลูกฝังไว้ตั้งแต่ปฐมวัย ผ่านมัธยมวัย จนเข้าปัจฉิมวัย ความเข้าไปยึดถือที่ต่างกันทำให้เราแยกตนออกจากกัน ออกจากคนที่ยึดถือต่างกัน ศาสนาที่เริ่มจากศาสดาเดียวผ่านกาลเวลาไปยังไม่คงทนตั้งอยู่ได้แบ่งเป็นนิกายต่างๆ และบ้างก็ผิดเพี้ยนไปเกิดเป็นศาสนาใหม่ขึ้น ความเชื่อที่เหมือนกันทำให้ความคิดเชื่องและการกระทำเชื่อมกัน ในทำนองเดียวกันความเชื่อที่ต่างกันทำให้เราแยกออกจากกัน เชื่อต่างคิดต่างทำต่างกันออกไป ความขัดแย้งดำเนินไปบนความเชื่อที่มาจากใจ
การสนทนากันก็มาจากใจ มีคำกล่าวว่า "ทุกสิ่งที่ออกจากปากล้วนออกจากใจ" แต่เรายังคงได้ยินคำว่า "ปากไม่ตรงกับใจ" อันนี้ถ้าพิจารณาให้ถี่ถ้วนจะพบว่า คำกล่าวที่ไม่ตรงกับความคิดนั้นถูกปั้นแต่งจากความคิดเช่นกันและเป็นความคิดที่มีใจกำกับอยู่ กำกับให้การสนทนาไม่สามารถแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้ ทำให้การรับรู้ผิดเพี้ยนไป มีข้ออ้างมากมาย เช่น กลัวเขาจะเสียใจ กลัวจะเกิดอันตราย กลัวจะไม่ได้ผลประโยชน์ตามที่ต้องการ เรื่องนี้รู้เพียงบางส่วนก็พอไม่จำเป็นต้องรู้ทั้งหมด สิ่งภายนอกสร้างเสียงภายในและเสียงภายในเหล่านี้นำพาความคิดไปสู่กับดักแห่งการแบ่งแยกไม่รวมกันได้ บ่อยครั้งที่เมื่อเวลาผ่านไปความกังวลความกลัวถูกพิสูจน์ว่ามันไม่จริงตามความคิดแต่การกระทำทั้งหลายที่ล่วงไปแล้วทำคืนไม่ได้ ถ้าเราสังเกตุ สังเกตุ สังเกตุ เราจะเรียนรู้เมื่อเราเรียนรู้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้ไม่เกิดขึ้น
เราจะเห็นกลไกการป้องกันของเราตราบที่เรายังไม่เปิดพื้นที่ พื้นที่ที่สิ่งต่างๆ จะเข้ามาโดยไม่มีการต่อต้านป้องกัน พื้นที่ที่ผ่อนคลายผัสสะทั้งหลายดำเนินไปความแตกต่างก้าวเข้ามาให้เราสัมผัสโดยไม่แบ่งแยกรังเกียจเหยียดหยามหรือกลัว เราจะรู้ถึงประโยชน์และโทษของสิ่งต่างๆ เมื่อเราอยู่กับปัจจุบันไม่กังวลสิ่งที่ผ่านมาหรือยังมาไม่ถึง ผ่อนคลายรู้ตัวทั่วพร้อมไม่ติดกับดักของกรอบความคิดของเราหรือผู้อื่น เราจะเชื่อมต่อกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาหาเราอย่างถึงพร้อมเมื่อนั้นเราจะเห็นสิ่งใหม่ผุดบังเกิดขึ้น สิ่งที่เราจะสามารถนำไปทำต่อเราจะรู้วิธีการต่างๆ ที่มาถึงอย่างแปลกปลาดเรายกระดับปัญญาของเราด้วยอาการเช่นนี้
ท่ามกลางความแตกต่างของสรรพสิ่งและผู้คน เราตระหนักว่าฐานของความต้องการของมนุษย์มีทั้งแตกต่างและเหมือนกัน ถ้าเราต้องการให้เหมือนกันต้องเริ่มจากสิ่งที่เหมือน มนุษย์ต้องการ คนรัก เข้าใจ และยอมรับ เราทุกคนต้องการอย่างนั้น
เมื่อเราต้องการสนทนาให้เป็นหนึ่งเดียวไม่ว่าจะสนทนาคนเดียว(คิด) หรือสนทนาสองคนหรือมากกว่านั้น เราควรเริ่มจากการยอมรับกันอย่างเท่าเทียมกัน อยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่คู่สนทนานำมาไม่นำความคิดเราไปทาบทอตัดสินดูถูกหรือกลัว ในการสนทนาเราต้องช่วยกันเพื่อจะได้รับฟังสิ่งทั้งหมดที่นำมาเสนอในการสนทนาเราควรเปิดพื้นที่เพื่อให้ถ้อยคำความคิดได้หลั่งไหลพรั่งพรูได้โดยไม่ติดขัด และรวมทั้งเฝ้าดูความคิดที่เกิดขึ้นของเราไม่ให้ไปขัดขวางและจับความคิดที่ผุดบังเกิดในทางสร้างสรรค์ให้ได้ เพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้งเราต้องให้เวลา กับการสนทนาคู่สนทนากลุ่มสนทนา ความเร็วในการสนทนาต้องช้าลง แม้ว่ามันจะเงียบงันบ้างในบางครั้งเราต้องไม่กลัวความเงียบที่จะเกิดขึ้น มันเป็นการปกติที่เราจะไตร่ตรองไปพร้อมๆ กันทั้งกลุ่ม เพื่อเราจะได้ลงลึกต่อไป แม้ว่าบางครั้งมันจะยุ่งยากสับสน แต่มันจะกลับเข้าที่การสนทนาโดยตัวมันเองจะจัดระเบียบให้เกิดขึ้นได้เมื่อเวลามันผ่านไป เราต้องเข้าใจด้วยว่า เวลา คือส่วนประกอบด้วยความอดทน รอคอยได้ บนพื้นฐานความรักและเมตตา ปัญญาระดับที่เหนือกว่าปัญญาที่สร้างปัญหาจะมาถึงด้วยวิถีทางและกระบวนการเช่นนี้ เพราะ"การสนทนานั้นเป็นวิถีทางอันเป็นธรรมชาติ ที่มนุษย์จะใช้ในการคิดร่วมกัน"(turning to one another : simple conversations to restore hope to the future margaret j. wheatley, 2002 Berrett-Koehler Publishers, INC. San Francisco หันหน้าเข้าหากันแนะนำโดย ปรมาจารย์วิสิษฐ์ วังวิญญู http://www.km.egat.co.th/blog/?q=node/5)
การสนทนาเป็นทักษะไม่ใช่ความรู้ ท่องจำไว้แต่ทำไม่ได้ ดังนั้นต้องฝึกฝน เมื่อเรากำหนดรู้สังเกตุ ทำให้ช้าลง ดำรงความอยากรู้ เปิดพื้นที่ สลายกรอบ รับรู้ทุกสิ่งอย่างไม่มีเงื่อนไข สงบเงียบไตร่ตรอง ทำบ่อยๆ พัฒนาการแห่งทักษะจะหมุนวนไปจากระบบสู่อัตโนมัติ บนพื้นฐานของปัญญาแห่งมนุษยชาติ จงเชื่อมั่นในปัญญาแห่งมนุษยชาติ ปัญญาแห่งความรักและเมตตา ผ่อนคลายเป็นอิสระและเรียนรู้ตราบเท่าที่เรายังมีกำลัง...

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตามดูความคิด

เราจึงอยู่ท่ามกลางความเป็นไปอย่างเลื่อนไหลมีพลังในสิ่งที่เคลื่อนไป พลังแห่งสรรพสิ่งได้ดำเนินไปตามวิถีของมัน สอดคล้องกับความเป็นจริงที่แปรเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดนิ่งเป็นวิวัฒนาการ เป็นวัฏฏะที่สร้างสรรค์และพัฒนา




คนเรามักวนเวียนอยู่กับอดีต ปัจจุบันและอนาคต เชื่อมโยงตนเองกับผู้อื่น มีเจตจำนงของตนที่จะบรรลุ 
การตัดสินใจทำสิ่งใดว่ากันว่ามาจากความคิด บางครั้งเป็นความคิดชั่ววูบลงมือทำในทันที บางครั้งไตร่ตรองนานจนไม่ได้ทำ เมื่อเรารู้ตัวของเราในอดีตสัมผัสกับศักยภาพยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในตัวเราซึ่งจะเผยออกมาในอนาคต กระนั้นเรายังคิดถึงตนเองและผู้อื่นสิ่งต่างๆ นี้ฉุดรั้งเราไปจากปัจจุบันที่สมควรทำ 
มีนิทานของตอลสตอย ที่กล่าวถึงพระราชาผู้ค้นหาคำตอบของสามสิ่งคือ 1. เวลาไหนที่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง 2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย 3. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา เรื่องราวผ่านไป พระองค์ได้คำตอบว่า จงจำไว้ว้า เวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ "ปัจจุบัน" ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คนที่อยู่ต่อหน้าเรา เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่ และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุข เพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต".... 
ยังมีนิทานของวอลแตร์(นิทานปรัชญา ของ วอลแตร์ แปลโดย ดารณี เมืองมา บริษัท สำนักพิมพ์ดวงกมล(2520) จำกัด พ.ศ. 2540 หน้า 177) พูดถึงปริศนาของราชครู ต่อซาดิก และผู้อ้างเป็นซาดิก ว่า "อะไรเอ่ย ในบรรดาสิ่งทั้งหล่ยในโลกนี้ที่ยาวที่สุด สั้นที่สุด ที่เร็วที่สุด และช้าที่สุด ที่ถูกปล่อยปละละเลยมากที่สุด และน่าเสียดายมากที่สุด ถ้าไม่มีสิ่งนี้เราก็ทำอะไรไม่ได้ มันทำลายทุกสิ่งที่เล็ก และให้ชีวิตกับทุกสิ่งที่ใหญ่โต"... ซาดิกตอบว่าเวลา ..."ไม่มีอะไรจะยาวกว่าเวลาและมันเป็นเครื่องวัดความไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอะไรจะสั้นไปกว่าเวลา เพราะเราจะมีไม่พอสำหรับคนที่รอคอย ไม่มีอะไรที่จะเร็วไปกว่าเวลาสำหรับผู้ที่มีความสุข มันขยายใหญ่ไพศาลจนกระทั่งวัดไม่ได้ มันแบ่งเล็กที่สุดจนวัดไม่ได้เช่นกัน มนุษย์ทุกคนปล่อยปละละเลยมัน และต่างก็เสียใจกันทุกคนที่เสียมันไป เราทำอะไรไม่ได้เลยถ้าขาดมัน มันทำให้คนรุ่นหลังลืมสิ่งที่ไม่ดี และทำให้สิ่งยิ่งใหญ่เป็นอมตะ"...
คุณเห็นความคิด วิธีคิด ผลของการคิดจากนิทานทั้งสองเรื่องใหม ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องแต่ง แต่งจากอะไร ความคิด ความเป็นจริง การกระทำ หรือ อะไร 
คุณเคยตั้งคำถามต่อสิ่งที่เข้ามาในชีวิต แล้วสังเกตุมันไหม 
บางคนเชื่อมั่นในโชคชะตา ว่ากันว่าแบบฝึกหัดทั้งหลายของชีวิตเราจะผ่านไปได้ ด้วยธรรมชาติรู้ความสามารถและความเป็นไปของเราจึงให้บทเรียนเหล่านั้นแก่เรา เมื่อวันเวลาผ่านไปความทุกข์ความสุขจะหล่อหลอมตัวเราจิตวิญญาณเราให้เข็มแข็งเติบใหญ่ 
คุณเห็นไหมความคิดนั้นก่อตัวขึ้นมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา 
คุณเคยอ่านชีวิตคนไหม อ่านจากชีวิตจริง จากคำบอกเรา จากเรื่องราวชีวประวัติ มีประวัติคนมากมายที่ถูกจากรีกไว้ เมื่อคุณอ่านไม่ว่าจากแหล่งใดโปรดสังเกตุ สังเกตุ สังเกตุ เรื่องราว การตัดสินใจ การกระทำ เมื่อสังเกตุแล้วคุณจะพบ ความเชื่อ ความคิด และโชคชะตาในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น 
ลองอ่านหนังสือเมื่อถึงตอนเหตุการณ์ที่จะต้องตัดสินใจโปรดลองสมมุติตัวเองเป็นตัวละครนั้นแล้วลองตัดสินใจดู อ่านต่อแล้วลองเทียบผลที่เกิดขึ้น สำรวจดูว่าหากเป็นคุณจะได้ผลเหมือนกันหรือไม่ ลองล้อเล่นกับความคิดโดยไม่ต้องเสี่ยงอันตรายดู
สังเกตุความคิดที่เกิดขึ้นนั้น เกิดมาจากสมอง หัวใจ หรือร่างกาย สิ่งที่เราคิดมีอคติสี่ประการประกอบกับความคิดนั้นหรือไม่ เราตัดสินคน ดูหมิ่นดูแคลนความเป็นมนุษย์หรือความคิดเรามาจากความกลัวหรือไม่ ตามดูความคิดของเรา เราคิดจากข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหมดหรือบางส่วน เราเห็นข้อเท็จจริงทั้งหมดไหม เราใช้ความรู้สึกทั้งหมดที่เรามีหรือความรู้สึกนั้นเป็นเพียงสัมผัสที่มาจากอารมณ์สะเทือนใจจากเหตุการณ์นั้นเชื่อมต่อกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา หรือเราสัมผัสมันด้วยความเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ข้อเท็จจริงนั้น เราเห็นข้อดีข้อเสียด้านบวกด้านลบของสิ่งที่สัมผัสได้ครบถ้วนหรือเราละเลยด้านใดด้านหนึ่งไปหรือเปล่า มันมีอันตรายใดที่เราต้องคำนึงไหมเราได้นำมันมาไตร่ตรองหรือไม่ เราสร้างสรรค์สิ่งใดได้จากเหตุการณ์ข้อเท็จจริงความรู้สึกทั้งแง่บวกและแง่ลบรวมทั้งอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เมื่อเราเห็นภาพรวมทั้งหมดแล้วเราจะตัดสินใจทำสิ่งที่คิดให้เป็นจริงได้ด้วยวิธีใด 
ลองตามดูความคิดของเรา เราต้องสังเกตุ สังเกตุ สังเกตุ ไตร่ตรอง ไม่วิตกกังวล ปล่อยให้ อดีต อนาคตอยู่ในที่ทางของมัน ปล่อยให้ตัวตน และสังคมแวดล้อมอยู่ในที่ทางของเขา และเราจะเชื่อมต่อกับทุกสรรพสิ่งได้อย่างไม่มีเงื่อนไข การดำรงอยู่ในปัจจุบันของเราจะทำให้เราพัฒนาเห็นทางออกใหม่บนระดับที่ไม่ใช่ระดับที่สร้างปัญหานั้นแต่เป็นระดับที่เป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งและอยู่นอกเหนือจากระดับเดิม เราตกผลึกทางความคิด สิ่งใหม่เกิดขึ้น เราเห็นทางปฏิบัติที่สามารถนำไปกระทำ รู้ว่าจะต้องทำอะไรอย่างไร และผลของมันเป็นอย่างไร เราเฝ้าดูความคิด ติดตามการกระทำ ดำเนินไปตามสิ่งที่ควรเป็นเมื่อมันดำเนินไปเกิดข้อมูลใหม่เราก็เชื่อมต่อและสามารถมีวิธีปฏิบัติได้อย่างกลมกลืนต่อไป ดังนั้นเราจึงอยู่ท่ามกลางความเป็นไปอย่างเลื่อนไหลมีพลังในสิ่งที่เคลื่อนไป พลังแห่งสรรพสิ่งได้ดำเนินไปตามวิถีของมัน สอดคล้องกับความเป็นจริงที่แปรเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดนิ่งเป็นวิวัฒนาการ เป็นวัฏฏะที่สร้างสรรค์และพัฒนา
ตามดูความคิดทั้งมวล ทำให้เรารวมกับผู้คนได้อย่างสอดคล้องและมีพลัง บนพื้นฐานของความเมตตา มักน้อย และถ่อมตน สรรพสิ่งจึงยังประโยชน์และเกื้อกูลกันและกัน

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความแตกต่างและความสัมพันธ์

คุณเชื่อในความแตกต่างที่สัมพันธ์กันอย่างลงตัวหรือไม่ 
เรามักเห็นความแตกต่างและขยายความแตกต่างนั้นด้วยกรอบของความคิดของเรา หากเราเชื่อมั่นในความเป็นไปของแต่ละบุคคล เชื่อมั่นว่าเขามีเป้าประสงค์ในการเกิดมาที่ต่างกัน มีวิถีทางในการดำรงอยู่ที่แตกต่างกัน ด้วยความเมตตาที่ดำรงอยู่ในตัวของเราท่ามกลางกาลเวลาที่ประกอบด้วยความอดทนรอคอยได้ และเรามุ่งที่จะสัมพันธ์กับเขาเหล่านั้น ปัญญาของความเมตตาจะนำเราสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่มีเงื่อนไขได้ 
ความแตกต่างของคนเราถูกสังเกตุมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว บางความเชื่อแบ่งคนเราตามวันเกิด เดือนเกิด ปีเกิด วันมีเจ็ด เดือนมีสิบสอง ปีมีสิบสอง ถ้าเราเอาทั้งหมดคูณกัน เราจะเห็นความแตกต่างของคนอีกหนึ่งพันแปดร้อยประการ ซึ่งคงจะยากที่จะจดจำได้หมด บางความเชื่อแบ่งคนเป็นเก้าลักษณะ และมีลักษณะรองอีกสองประการตามแต่สิ่งแวดล้อมและอารมณ์ที่เปลี่ยนไป (นพลักษณ์) บางความเชื่อแบ่งคนเป็นหกประการ (จริตหก) อินเดียนแดงแบ่งคนเป็นสี่ประเภทโดยเปรียบเทียบกับสัตว์สี่ชนิด  กระทิง อินทรี หนู หมี ซึ่งอยู่ตามทิศต่างกัน เหนือ ออก ใต้ ตก หรือ หยินหยางคือการแบ่งกันเป็นสองจำพวกใหญ่ การแบ่งต่างๆ กันตามความเชื่อหลายแบบนี้ มีขึ้นเพื่อให้เราเข้าใจความแตกต่างเพื่อจัดวางความสัมพันธ์ที่ดีบนความแตกต่างนั้น เช่น หยินหยาง นั้นหากเราสังเกตุดูจะเห็นว่ามีจุดดำในพื้นขาวและจุดขาวในพื้นดำ นั่นคือความพยายามบอกไว้ว่า ในอ่อนมีแข็ง ในแข็งมีอ่อน ในดำมีขาว ในขาวมีดำ ความแตกต่างมีความสัมพันธ์กันและกัน
ขอบคุณรูปภาพจาก http://jiradino.blogspot.com/2011/07/blog-post_5677.html
จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ร่วมกัน คือความสัมพันธ์ระหว่างคนที่แตกต่างกัน ด้วยเข้าใจว่าเราเป็นอย่างไร และเขาเป็นอย่างไร ความเข้าใจเริ่มจากการเข้าใจตัวเราเองก่อน ว่าเราเป็นใคร คนอื่นมองเราอย่างไร ความเข้าใจตัวเราเกิดจากการสังเกตุตนเอง มีความสัมพันธ์กับตนเองตามความเป็นเราที่แท้จริงไม่ใช่เราที่มุ่งหวังให้คนอื่นเข้าใจ แล้วบนกรอบที่แตกต่างกัน ความเชื่อที่ไม่เหมือนกัน เราสัมพันธ์กับตัวเราได้อย่างเป็นมิตรกับตัวเอง ไม่ขัดแย้งกับตัวเอง เราสานสัมพันธ์กับตัวเราได้ในภาวะต่างๆ ในอารมณ์ที่เปลี่ยนไป ภาวะกดดัน ภาวะผ่อนคลาย และภาวะธรรมดา เราจัดวางความสัมพันธ์ของเราได้อย่างเหมาะสมกับอารมณ์ตนเอง
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.visalo.org/book/penmitr.htm
จากกรอบของเราที่ทำได้ตามสภาวะของความเป็นจริง เราจึงขยายกรอบของเราออกเพื่อเข้าใจผู้อื่น เข้าใจได้โดยเปิดพื้นที่ให้ความเป็นคนอื่นได้โลดแล่นในกรอบของเรา เมื่อกรอบเปิดกว้างจนไม่มีอณาเขตเราจะได้เรียนรู้และไร้กรอบไร้รูปแบบ ความสัมพันธ์บนพื้นที่ที่เปิดกว้างโดยไม่มีเงื่อนไข ด้วยสติรู้ตัวทั่วพร้อม การเรียนรู้เกิดขึ้นจากการเปิดพื้นที่ให้ผัสสะได้ทำงาน อายตนะทั้งหลายในและนอกได้เจริญขึ้นด้วยการเรียนรู้จากผัสสะที่ได้รับ สัญญาอารมณ์ต่างๆ เผยตัวของมันออกคลี่คลุมพื้นที่เรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในทางที่ดีตามมา การจัดวางความสัมพันธ์ที่เหมาะสมได้เกิดขึ้นจากปัญญาแห่งการเปิดเผยตัวตน บนสติรู้ตัวทั่วพร้อม ปัญญาแห่งธรรมชาติย่อมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เกื้อกูล เป็นประโยชน์ เราเรียนรู้ที่จะจัดวางความสัมพันธ์ในความแตกต่างได้อย่างเหมาะสมกลมกลืน
เมื่อสัมพันธ์ของความแตกต่างดำเนินไปในครรลองของมัน สังฆะ ความเป็นหนึ่งเดียวของความแตกต่างหมุนวน การสนทนาเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เกลียวการเรียนรู้สั่นสะเทือนความคิดร่วม เหนี่ยวนำปัญญาร่วมเกิดขึ้น พลังแห่งความเป็นหนึ่งเดียวเลื่อนไหล ความเป็นไปในทุกคนที่เข้าใจในสิ่งเดียวกัน เห็นภาพใหญ่ภาพรวมทั้งหมดที่ปัญญาร่วมสร้างขึ้น ต่างคนต่างเข้าใจความแตกต่างและลงมือปฏิบัติตามหน้าที่ที่แตกต่างกัน บนความสามารถที่แตกต่างกัน ความแตกต่างทั้งหมดจึงเป็นไปในทางเดียวกัน เป็นทางเดียวที่ดำเนินไปด้วยความสอดคล้อง เกื้อกูล และมีพลัง 

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

คุณคิดอะไรอยู่เมื่อสิ่งใหม่เข้ามา



เมื่อเราได้รับรู้สิ่งใหม่ เหตุการณ์ใหม่ หรืออะไรที่แปลกไปจากสิ่งเดิม สิ่งคุ้นชิน เราจะมีการสนองตอบได้หลายประการ ต่อต้าน ยอมรับ และเฉยๆ
อะไรอยู่เบื้องหลังและผลักดันการสนองตอบนั้น ท่านเคยสังเกตุหรือไม่ เคยตั้งคำถามกับตัวเองไหม
เมื่อเด็กได้กำเนิดมาในโลก ได้รับการเลี้ยงดูจากบุพการี (ผู้ให้ก่อน) ตั้งแต่ยังไม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดได้ การรับรู้ในตอนนั้นจึงยังไม่มีถ้อยคำเข้ามาในใจของเขาเหล่านั้น แต่การสัมผัสทางกายและทางใจเด็กรับรู้ได้ตั้งแต่ยังไม่ถือกำเนิด (รู้ตั้งแต่ปฏิสนธิ..) การรับเข้าจากการเลี้ยงดูนั้นสร้างความทรงจำ ความหมายขึ้นมาทีละน้อย บนความไม่มีอะไร เมื่อเวลาผ่านไป ถ้อยคำที่บุพการีเฝ้ากล่อมเกลา ตั้งแต่ลืมตาดูโลกเวลาจะทำสิ่งใด ก็จะพูดคุย พร่ำบอก เด็กทั้งหลายตอบสนองด้วยกายและใจก่อนเอ่ยวาจาได้ จากการฟังของเด็กเหล่านั้นเขาเริ่มพูดได้ ตอบสนองได้ทางวาจา เราใส่สิ่งใดเข้าไป เด็กก็จะสนองสิ่งนั้นกลับมา เมื่อจำความได้ความเหล่านั้นที่ได้รับมาก็หล่อหลอมมาเป็นฐานของตัวตนของเด็กนั้น
เราทุกคนก็ผ่านช่วงเวลานั้นมา บางคนนานมาก บางคนไม่นาน บางคนจำได้ บางคนจำไม่ได้ บางคนไม่อยากจำ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราจะเผชิญกับสิ่งใหม่เข้ามาในชีวิตเสมอ บางท่านบอกว่า การได้พบกับเหตุการณ์ใหม่เป็นกำไรชีวิต แต่บางท่านบอกว่าไม่ได้พบสิ่งใหม่เลย มีแต่ปัญหาเดิมซ้ำซากอยู่ตลอดเวลา บางคนว่าการที่เราเจอะเจอแต่ปัญหาเดิมนั้นเพราะชีวิตเป็นเหมือนแบบฝึกหัด ถ้าเราไม่สามารถผ่านแบบฝึกหัดที่หนึ่งไปได้ ก็จะต้องทำแบบฝึกหันนั้นซ้ำจนกว่าจะผ่านแล้วจึงจะได้เริ่มแบบฝึกหัดที่สองต่อไป ความแตกต่างกันที่เราพบทำให้คนเราไม่เหมือนกัน ยิ่งเวลาผ่านไปเรายิ่งได้รับและสร้างกรอบการรับรู้ต่างกันตามที่เราประสพ ฝาแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกันยังมีชะตากรรมไม่เหมือนกัน
สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างกันมาจากตัวเราเอง การรับรู้การสนองตอบ สร้างความคิด การยึดถือ และการปฏิบัติของเราขึ้นมา เราจึงเป็นเราเป็นสิ่งเดียวในจักรวาลที่ดำรงอยู่อย่างไม่มีใครเหมือนเรา ความเป็นสิ่งเดียวทำให้เราสำคัญผิด ว่าเราเป็นเอกในจักรวาลนี้ (เอก=หนึ่ง)
เวลาก็ผ่านไปอีกเวลาที่หล่อหลอมตัวเราผ่านไป ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะเรียนรู้ในการถอดถอนตัวเอง โลกมนุษย์ที่ซับซ้อนนี้ ในความซับซ้อนนั้นมีการเบียดเบียนดำรงอยู่ ทำให้มนุษย์แปลกแยกจากกัน ในการเบียดเบียนมีการเกื้อกูลดำรงอยู่เช่นกัน ทำให้มนุษย์สามารถเชื่อมเข้าหากันได้อีก มีกิจกรรมมากมายที่ไม่จำเป็นในอดีตแต่จำเป็นในปัจจุบัน เช่น การฝึกการต่อสู้ ฝึกการทำกับข้าว เป็นต้น
มนุษย์สร้างสรรพสิ่งแล้วก็ติดยึดกับมัน เราสร้างบ้าน สร้างครอบครัว แล้วก็ยึดถือไว้ใครมาทำร้ายเราต้องปกป้อง ครอบครัวคือเราจะไม่ทิ้งกัน และอื่นๆสารพัดที่เราทุ่มเททำแม้ชีวิตก็สละให้ได้ เราสร้างชาติสร้างประเทศแล้วยึดไว้อีก ใครมารุกรานเราต้องป้องกัน  เราสร้าง โลก Internet โลกเสมือน Online แล้วเราใช้มัน ติดอยู่กับมัน เราต้องเรียนรู้ที่จะสัมผัสกับมันแต่ไม่ติดยึด อันที่จริงแล้วโลกนี้ก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้มีหรือไม่มีเราก็จะดำเนินไปตามครรลองของมัน เราต่างหากที่มีโลกในเรา และยึดมันไว้ทั้งที่มันไม่เป็นไปตามเรา
บนชั้นหนังสือขายดีเราพบว่า มีหนังสือหลายประเภทที่ติดอันดับขายดี พิมพ์ขายได้เรื่อยๆ คือ สอนให้สร้างรายได้ สอนให้ทำกิน หนังสือสอนให้ทำใจ นั่นคือมนุษยคิดว่าต้องมั่งคั่ง อิ่มกาย อิ่มใจ จึงจะเป็นความสำเร็จ
ปัจจุบัน นอกจากหนังสือแล้วมนุษย์ยังคงแสวงหาต่อไป กิจกรรมต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองมนุษย์มีมากมาย พักผ่อนด้วยการท่องเที่ยว แสวงหากำลังใจให้กับตนเอง เข่น กิจกรรมปลุกยักษ์ในตัวคุณ เป็นมิตรกับตัวเอง ทำร่างกายและจิตให้แข็งแรง สปาบำบัดพิษทางกายและใจ และอื่นๆ อีกมากมาย ในการขายประกันมีบางรายโฆษณาแถมกิจกรรมเหล่านี้มากมายจนจำไม่ได้
มนุษย์ลืมแสวงหาภายใน ท่องเที่ยวไปภายใน เราสร้างและแสวงหาภายนอก จนลืมภายในกายที่กว้างคืบ ยาววา หนาศอกนี้ ...
สิ่งใหม่ที่เราพบเข้ามาในชีวิตเราเลือกที่จะรับรู้และตอบสนองได้ รับรู้เพือถักทอเข้ากับชีวิตเราเมื่อตระหนักว่าเป็นประโยชน์ รับรู้เพื่อจะป้องกันเพราะมันเป็นโทษ รับรู้และจัดวางไว้ในสิ่งที่รับรู้เพราะไม่เป็นทั้งประโยชน์และโทษ และบางอย่างรับรู้เพราะมันเป็นภาคบังคับของชีวิตที่ต้องรับรู้
การรับรู้เราต้องเปิด สิ่งรับของเราทั้งหมด สิ่งรับของเราได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ให้พื่นที่ในการเรียนรู้ด้วยการปล่อยให้สิ่งใหม่ๆ เข้ามาแล้วสังเกตุ การรับรู้ การตอบสนองของเรา เมื่อจิดใจเราผ่อนคลายเราจะเปิดการรับรู้ได้ทุกส่วน แต่ถ้าจิตใจเราคับเครียดกดดัน ส่วนรับรู้ทั้งหมดจะปิดเราจะกลับมาอยู่กับสมมุติฐานเดิม กรอบความคิดความเชื่อเดิม ด้วยความคุ้นชิน เราไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงใดๆ ส่วนรับรู้ปิดลง การเรียนรู้รับรู้ไม่เกิดขึ้น
สิ่งใหม่ที่มาหากต้องการศึกษาเราต้องเปิดพื้นที่ให้สิ่งนั้นได้เข้ามาในพื้นที่รับรู้เพื่อเรียนรู้มันบนจิตใจที่ผ่อนคลาย บางทีสิ่งใหม่ที่รับรู้จะกระตุ้นสิ่งใหม่ในเราให้เราพบเจอตัวตนที่แท้เอง

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Windows 8 App

ทดสอบ Windows 8 ต่อ โดยพยายาม เพิ่ม User (เป็นของ "คนสำคัญ" ที่บ้านน่ะครับ) ดูแล้ว Windows 8 ที่ใช้ที่บ้านนั้น ต้อง Online ตลอดเวลา และ เชื่อมต่อกับโลก Online เสมอ ถ้าเราใช้ที่บ้าน บนมือถือ ที่ที่ทำงาน ทุกอย่างอยู่ Online บนโลกเสมือนตลอดเวลา

ติด Microsoft Office 2013 และอื่นๆ มีดูหนังฟังเพลง หนังสือพิมพ์ หนังสือจาก AIS Game จาก Xbox




ในความคิดผมเขาพยายามเชื่อมโลกทั้งหมดให้ไปอยู่ในโลกเสมือนให้ได้
และเราต้องดูความจำเป็นของเราด้วยเมื่อเราจะใช้และเข้าไปในโลกที่ไม่จริงนั้น เราต้องใช้เงินจริงๆ เพราะการเชือมต่อของเรากับ Online นั้นมันต้องใช้เงิน และต่อไปนี้เราจะสะดวกสะบายขึ้นเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา ที่มีสัญญานเครือข่าย เครือข่ายที่เราทราบดีว่าบ้านเราใช้และเข้าถึงได้ไม่เท่าเทียมกัน ทั้งยังล้าหลังเพื่อนบ้าน
ก็ไม่เป็นไรทดสอบก่อน แล้วสักพักถอยกลับไปอยู่ในถ้ำเหมือนเดิมคือใช้ Windows 7 
คงไม่ทำให้เราตกยุคสักเท่าไรนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การวัดและประเมินผล

ถ้าเราให้คนอื่นมาดู(วัดเรา) ใช้วิธีของเขา(เป็นมาตรฐาน) มันจะไม่เห็นสิ่งที่เราทำ เราทำอย่างไรเรารู้ของเราและเราวัดตัวเราได้ เราต้องออกแบบวิธีวัดของเราเอง 
ความคิดที่ข้างต้นเป็นความคิดที่ท้าทายมาก

การทำบนสมมุติฐานหนึ่งเมื่อมีผลแล้วใช้อีกสมมุติฐานหนึ่งมาวัดและประเมินทำได้หรือไม่

คงไม่มีคำตอบสำเร็จ

ในทางนโยบายแล้วทำได้เพราะผู้คุมนโยบายเป็นผู้วัด สิ่งที่วัดนั้นมุ่งไปในทางที่เชื่อความเป็นกลางของมาตรฐาน(มาตรฐานคือต่ำสุดที่ต้องการและควรจะเป็น)ใช้สำหรับดูภาพรวมเพื่อปรับปรุง

แต่ในทางปฏิบัติหากเราเชื่อว่าเราเหนือมาตรฐาน เราก็ทำอะไรเหนือมาตรฐาน สร้างเอง เชื่อของเราเองและบรรเจิดไปบนทางของเรา ชื่นชมกันเอง มันคล้ายอะไรรู้ไหม มันเหมือนเราคือจักรวาล ครอบรอบทุกสรรพสิ่งและสิ่งที่พบอยู่ในจักรวาลของเราที่เราอธิบายได้เหนือกว่า เราสร้างความเชื่อมั่นนั้นแล้วด้วยจินตนาการบนฐานคิดของเราเรามุ่งไปโดยหวังครอบรอบความเป็นอยู่ที่มีและสัมผัสได้

หากเราตอบสิ่งที่เราคิดได้คือเราเห็นสิ่งที่เราทำ เรารู้ด้วยการวัดตัวเรา นั่นคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ เพราะมันประกอบด้วยความเชื่อมั่น ความพยายาม ความระลึกรู้ ความเป็นหนึ่งเดียวและความรู้รอบตามจริง (พุทธศาสนา เรียกสิ่งนี้ว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งพัฒนาถึงขีดสุดคือความว่าง)

ในทางยุทธศาสตร์แล้วทำได้ สิ่งที่ไปก่อนย่อมครอบครองพื้นที่ได้มากและบางครั้งทั้งหมด(ISO ทั้งหลายก็เช่นกัน) ยุทธศาสตร์คือภายนอกภายในและการได้เปรียบในการตัดสินและทำ(ให้คนอื่นทำ)

ด้วยระดับการวัดที่มนุษย์มีทุกวันนี้ไม่สามารถวัดทุกสิ่งที่ปรารถนาได้ แต่มนุษย์วัดสิ่งที่ไม่ปรารถนาได้ดีมาก ด้วยระดับการวัดดังนี้ เหตุผล ความรู้สึก และร่างกาย วัดเพื่อจะปฏิเสธ กับวัดเพื่อจะยอมรับ และวัดเพียงแค่เพื่อที่จะวัด บางครั้งวัดเพื่อให้ตนเจ็บช้ำไม่ใช่วัดเพื่อสร้างสรรค์(ลองทบทวนตัวเองดูได้นะครับ)

เมื่อเราทำบางอย่างเราจะเพลิดเพลิน และถ้าเราดื่มด่ำกับมัน ต่อไปเราจะพร่ำถึงมัน การตัดสินก็เช่นกัน ดังนั้น เมื่อเป็นผู้ประเมินเราไม่ควร เพลิดเพลิน ดื่มด่ำ และพร่ำถึง สิ่งเหล่านี้ทำให้เราตกจมอยู่กับความยึดถือ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ อย่างอื่นไม่ใช่ ตราบใดที่ความรู้ไหลไป คนมีความสุข นั่นคือยอดปรารถนา แล้วเราจะวัดหาอะไรในสิ่งที่เราจะไปกำหนดไม่ได้ เราเอาแผนแม่บทมากางเพื่อจะยืนยันความพยายาม ความคิด และความต้องการ(แผนจะแฝงไว้ด้วยสิ่งนี้เสมอ)ของอนาคตที่หวังไว้ในอดีต

โปรดอย่างลืมว่าเราวัดเพื่อพัฒนา นั่นหมายความว่า ศึกษาปัจจุบันเพื่อบีบบังคับอนาคต บนความเป็นไป(สุขหรือเจ็บช้ำ)ของอดีตที่แก้ไม่ได้แต่เรียนรู้ได้
ความท้าทายดั่งนี้นำพาให้โลกเจริญ พัฒนาไปโดยไม่เพลิดเพลิน ดื่มด่ำ และพร่ำถึงอดีต เรารู้ด้วยการวัดตัวเรา นั่นคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ เพราะมันประกอบด้วยความเชื่อมั่น ความพยายาม ความระลึกรู้ ความเป็นหนึ่งเดียวและความรู้รอบตามจริง

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ใช้ Windows 8 บน Notebook เก่า

ได้รับคำแนะนำจากลูกชายให้ติดตั้ง Windows 8 เพื่อทดลองใช้ดู รุ่นที่ใช้เป็น Beta ไม่ใช่ Pro ตอนติดตั้งไม่ยาก Load เร็วกว่า Windows 7  ตอนติดตั้ง Online และ ใช้ ID Windowslive พร้อม Password Login เมื่อติดตั้งแล้ว มันจะเชื่อมต่อกับ Email Skydrive ที่เราใช้บริการอยู่ หน้าตาไม่คุ้น
หน้าตาตอนเริ่ม
จะเห็นว่ามี User ของเรามุมบนขวามือจากจุดนี้เราจะเข้าถึงได้ทุก App ที่มีและถ้าใช้ Scoll บน Mouse จะเลื่อนไปซ้ายขวาเพื่อดูทั้งหมดได้ และถ้า click ขวา จะมี All App ที่มุมล่างขวา เมื่อ click จะเห็น App ทั้งหมด เราจะจัดการให้เห็นในหน้า Start ได้ตามใจเรา
นี่คือ Apps ทั้งหมดที่มีของเรา
จาก Start ถ้าเราเข้า Internet Explorer จากตรงนี้ หน้าตาจะไม่เหมือนที่เราเข้าจาก หน้าปกติ

หน้าตา Internet Explorer ที่เข้าจาก Start

จะป็นประมาณนี้ ได้ติดตั้งชุด Microsoft Office 2013 (ล่วงหน้าตั้งสามเดือนแน่ะ) มีโปรแกรมมาให้เยอะมาก ครบชุดเดิมรวมทั้ง One Note ที่มีใน 2010 ด้วย ทั้งหมดเชื่อมกับ Sky Drives ด้วย
หน้าตา Word 2013
หน้าตา One Note 2013
ดูแล้วต่อไปในอนาคตทั้งหมดจะเชื่อมต่อกันเป็นโลกเดียวกัน เข้าถึง Social Media ได้ง่ายขึ้น
แม้แต่ Ubuntu ที่พึ่งออก ubuntu 12.10 เมื่อ 18 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา ก็ได้เชื่อมต่อกับโลก Online เช่นกัน ดู รีวิว ubuntu 12.10 Quantal Quetzal ที่ Ubuntu Thailand
ก็ดีนะครับแข่งกันไป
ลองดู Top 10 Features of Ubuntu 12.10 จาก Youtube ก่อนก็ได้นะครับ



ชอบค่ายไหนก็ไปทางนั้นเลยครับ
ผมก็ทดลองไปเรื่อยๆ เรียนรู้ไป

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หลักสูตร BAR และ AAR ที่เขาแหลม

วงจรความรู้ คุณวิบูลย์
http://sphotos-b.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc6/246456_489724204379457_1666940719_n.jpg


ผมคิดว่าการทบทวนก่อนการปฏิบัตินั้น คนเราใช้จินตนาการและความคิด เข้าไปสร้างสัมพันธ์กับเนื้อหาที่เราจะทบทวน และการทบทวนนั้นทำร่วมกับคนอื่น การเปลี่ยนวิธีคิดด้วยการฟังนำมาซึ่งการเข้าถึงรายละเอียดของการทบทวน สร้างทัศนะภาพที่สัมพันธ์สอดประสานกันหลอมรวมความรู้แฝงเร้นของกลุ่มคนเข้าด้วยกัน 



จากสมมุติฐานที่กล่าวมานี้ลองดูงานที่เราจะต้องไปทำคือการสอน หลักสูตร BAR และ AAR ที่เขาแหลม ผม คุณและน้องๆที่จะมาช่วยสอนจะมีจินตนาการของแต่ละคน ผมลองจินตนาการถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น เป็นตัวอย่างดังต่อไปนี้
ผมตั้งเป้าว่าผลลัพธ์ที่เกิดผู้เข้ารับการอบรมจะมีความรู้ที่จะใช้กระบวนการที่เชื่อมคนเข้าด้วยกันเพื่อสร้างผลการ BAR และ AAR ที่นำไปใช้ได้ จากจินตนาการนี้ ผมนำมาคิดสร้างหลักสูตรการจะนำเขาเหล่านั้นไปสู่จุดหมายนั้นมันอยู่ภายในและเป็นสิงแฝงเร้นรู้เฉพาะตน



คุณและน้องก็มีจินตนาการและความคิดเช่นเดียวกันกับผม แต่สิ่งที่ต่างกันคือ ความรู้ที่เรามีและนำมาจินตนาการซึ่งต่อไปเป็นความคิดและการกระทำนั้น เรารู้ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเช่น บริบทและภูมิหลังของผู้เข้าอบรม ความรู้ความชำนาญและทัศนะคติในเครื่องมือที่จะใช้ เป็นต้น
เมื่อเรามาทบทวนร่วมกัน กระบวนการที่จะหลอมรวมความคิดและการเข้าถึงสิ่งแฝงเร้นของเราทุกคนนั้นจำเป็นต้องใช้ กระบวนการสานเสวนา กระบวนการสานเสวนาที่จะได้ผลของปัญญาร่วมต้องมาจากฐาน ความเข้าใจ ไว้วางใจของพวกเราที่จะเปิดพื้นที่ให้สิ่งแฝงเร้นในตัวเราได้ปรากฏออกมา หากกระบวนการเป็นไปด้วยดี สิ่งต่างๆ ที่เป็นข้อสมมุติฐานแฝงเร้นของพวกเราหลอมรวมกันได้แล้ว จุดประสงค์ที่เราสร้างจากการหลอมรวมนั้นก็จะเป็นจุดประสงค์ร่วมของทุกคน ความคิดที่เราจะดำเนินการต่อจึงสอดบรรสานจากความสามารถที่เรา จะกระทำได้จึงจะเผยออกมา ความคิดในแง่มุมต่างๆ ที่ครอบคลุม ทั้งด้านดี ไม่ดี รายละเอียด สร้างสรรค์ ระมัดระวัง และปฏิบัติได้ จะเกิดจากวงของการรวมกัน พลังจะเลื่อนไหลสร้างความเป็นไปได้ สร้างสรรค์ บรรจุรายละเอียดของทั้งสิ่งที่ต้องทำ ผู้กระทำ ผลของมัน ข้อควรระวัง
ต่อจากนั้นเราทุกคนจะเห็นในภาพใหญ่ภาพรวมทั้งหมดทุกแง่มุม แล้วเราจะได้ทำงานที่เราเห็นในจุดประสงค์ร่วมของเราสอดคล้องกับความสามารถของเรา การมอบหมายงานที่เหมาะสมกับความสามารถจะเกิดขึ้น เราจะรู้และร่วมกันรับผิดชอบทำอย่างนั้นได้ ด้วยการใส่ใจที่จะทำสิ่งที่เป็นของเราในส่วนรวมได้อย่างดีขณะเดียวกันบนความสัมพันธ์ที่เห็นวิถีของเพื่อนร่วมงานเราสามารถเกื้อกูลกัน ก้าวไปด้วยกันสู่จุดหมายได้
ทั้งหมดนี้จะเป็นไปได้ก็ต้องมีเครื่องมือระหว่างการปฏิบัติร่วมกัน เครื่องมือที่ไม่ใช่เฉพาะภายนอกอย่างเดียวแต่เครื่องมือภายในได้ถูกสร้างขึ้นด้วย เมื่อภาระกิจเสร็จสิ้นการทบทวนหลังการปฏิบัติจะตามมา สิ่งที่ทำได้ดี สิ่งที่เป็นโอกาสในการปรับปรุง ข้อเสนอแนะสำหรับการดำเนินการในครั้งต่อไป จะเผยตัวตนออกมา เพื่อให้เราได้ทบทวนแล้วนำไปปฏิบัติต่อเป็นวงจรเกลียววนที่นำความเจริญมาสู่การปฏิบัตินั้นๆ

สรุป กระบวนการทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเนื้อหา ที่ควรจะมีคือ ความเข้าใจในคน การเปลี่ยนวิธีคิดด้วยการฟัง การคิดแบบต่างๆ การสรุปบทเรียนรู้ การเขียนแบบเจาะจง ทั้งหมดนี้อยู่บนทัศนะที่ดีและสร้างสรรค์

อันนี้เป็นข้อมูลที่มีที่น้องเค้าให้มา
วันแรก น้องทอมจะเตรียมผู้เข้าอบรมให้และส่งให้เราเวลา 9.30 น. โดยให้พูดในเรื่อง ทบทวน KM Concept และ KM Tools บทบาทของผู้บริหารกับการจัดการ ความรู้ รู้จักรู้หลัก ประโยชน์ของเครื่องมือ KM โดย ดร.ประพนธ์ ผาสุกยืด บทบาทคุณอำนวย คุณลิขิต คุณกิจ ทั้งหมดนี้ให้เวลา 1 ชั่วโมง ก่อนพักทานเครื่องดื่มแล้วต่อด้วยสานเสวนาถึงเที่ยง ก่อนไปทานอาหาร หลังจากกลับมาจะมีผ่อนพักตระหนักรู้อีก ประมาณ 20 นาที แล้วทั้งบ่ายถึง 16.00 น.เป็นรายการที่น้องเค้าเรียกว่า Workshop สานเสวนา จบด้วยถอดบทเรียน และคำถาม ถึง 16.30 น. โดยให้เราดำเนินการนำพาผู้อบรมไป
วันที่สองจะเริ่มด้วยเรานำเครื่องมือ BAR และ AAR มาให้รู้จักในเบรคแรก เบรคที่สองและที่สาม เป็น Workshop BAR AAR ส่วนเบรคสุดท้ายเป็นถอดบทเรียน เปิดใจ คำถาม แล้วน้องทอมจะมานำผู้เข้าอบรมเก็บใจกลับสิ้นสุด เวลา 15.30 น.

ต่อจากนี้ลองสร้างหลักสูตรบนจินตนาการและความคิดของผมดูนะครับ
เป็นการเชื่อมต่อจากสมมุติฐานด้านบนสุดและเชื่อมกับข้อมูลของน้องทอม
ผมจะละตอนเริมและจบให้น้องทอมดำเนินไปตามที่ตั้งไว้
เมื่อ เข้าสู่ช่วงที่จะนำไปสู่ BAR และ AAR จะเริ่มจาก ความเข้าใจในตนเองและคนอื่น ด้วยสัตว์สี่ทิศ เราเป็นอะไร เพื่อนเห็นเราเป็นอะไร เปิดใจรับฟังได้ไหม ในความต่างกัน ใช้การสนทนากลุ่มมาดำเนินกระบวนการ(สนทนาครั้งแรก) ตรงนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงแล้วไปเบรค

ขอบคุณภาพจวาก http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/29/1029/images/tit.JPG


กลับมาสรุปช่วงแรกนำเข้าสู่การคิดโดยการฟัง แทรกความรู้แฝงเร้นและชัดแจ้ง โยงเข้าความคิดหกแบบ ใช้การสนทนากลุ่มเข้ามาอีกครั้ง(สนทนา ครั้งที่สอง) 
ขอบคุณภาพจวาก http://www.loosetooth.com/Viscom/gf/6thinking_hats.gif

คราวนี้มีคุณอำนวย คุณกิจ และคุณลิขิต สรุปนำเสนอใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วไปทานอาหาร 

กลับมาผ่อนพักตระหนักรู้
ขอบคุณภาพจวาก http://i245.photobucket.com/albums/gg73/yogitai/thaiplumsep18_6.jpg

สรุปบทเรียนช่วงเช้าตามด้วยเกมผู้นำ(ชิบปี้ชิบ)ตรงนี้สอดแทรก BAR และ AAR เข้าไปในเกม ลองให้กลุ่มตอนเช้าเขียนเกมผู้นำ เป็นแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อสอดแทรกให้รู้จัก SARs และการถอดบทเรียน จบแล้วไปเบรค กลับมา แนะนำวงจรเรียนรู้ของอ.พินิจ โยงเข้าสู่ วงจรเรียนรู้จากการทำงานที่มีทั้ง BAR และ AAR ให้รู้จักและเน้น Ba เพื่อเตรียมเครื่องมือทั้งหมดให้ให้สนทนากัน(ครั้งที่สาม)เพื่อจะนำเข้าสู่กิจกรรมวันต่อไป คือ การทำ Workshop BAR และ AAR

วันที่สอง กิจกรรมเกมต่อด้วยทบทวนเครืองมือทั้งหมดที่แนะนำเมื่อวันแรก คือ ความเข้าใจในความแตกต่างของคน(สัตว์สี่ทิศ) การเปลี่ยนวิธีคิดด้วยการฟัง(สานเสวนา) การคิดแบบต่างๆ(คิดหกแบบ) การสรุปบทเรียนรู้ และการเขียนแบบเจาะจง ผมจะใช้กิจกรรมวาดภาพเป็นเครื่องมือสอน BAR และ AAR โดยนำ AAR ของการวาดภาพที่เคยทำไว้แล้วมาให้กลุ่มทำ BAR(สนทนาครั้งที่สี่) เมื่อกลุ่มทำกิจกรรมเสร็จแล้วให้นำมาทำ AAR(สนทนาครั้งที่ห้า) จบเบรคแรกด้วยการนำเสนอของแต่ละกลุ่ม(สนทนากลุ่มครั้งที่เจ็ด) ตรงนี้ถ้ามีพี่เลี้ยงกลุ่มผมหวังว่า จะทำในแต่ละกลุ่ม หลังเบรคเราจะทำ กิจกรรมต่อและจบด้วย BAR(สนทนาครั้งที่แปดและเก้า) ที่ไม่ได้นำไปทำต่อ แล้วไปพักทานอาหารกันกลับมาผ่อนพักตระหนักรู้ตามที่น้องวางไว้ ช่วงบ่ายเราจะทบทวนที่เรียนรู้มาวันครึ่งและสนทนาวงใหญ่(สนทนากลุ่มใหญ่ครั้งที่หนึ่ง) ใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมง 15นาที เบรคแล้วกลบมาถอดบทเรียน(สนทนากลุ่มใหญ่ครั้งที่สอง) จบแล้วส่งมอบให้น้องทอมต่อไป

ทั้งหมดนี้คือความคิดนะครับ เป็น BAR ของผม โปรดต่อยอดและนำไปสู่การหลอมรวมเพื่อการปฏิบัติโดยพลัน
ด้วยจิตนอบน้อม
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

23 วันที่เรียนรู้หลังเกษียณ


กลับมาถึงบ้าน ตั้งแต่ 29 กันยายน 2555 25 วันต่อมาได้เรียนรู้หลายอย่าง
เรียนรู้จากลูกชายที่จะทดลองใช้ Windows 8 และ Galaxy mini ที่ลูกชายมอบให้
สร้าง Blog ใหม่ ที่นี่ สร้าง Facebook ที่ www.facebook.com/toodtoo.rarearn


สร้าง Page ใน Facebook ชื่อ เรียนรู้ตลอดชีวิต

ไปเยี่ยมเยียนกันบ้างนะครับ ทางไปอยู่ด้านขวามือครับ

ได้เรียนรู้ว่ามี E book ให้อ่านเยอะมากในโลกไซเบอร์ โลกอินเตอร์เน็ต และบางครั้งเราก็ยังต้องอ่าน หนังสือที่เป็นเล่มตามที่เคย อาจเป็นเพราะปรับไม่ทันเทคโนโลยีก็ได้
มีน้องบอกว่าจะไม่เหงาเมื่อเข้าร่วม Facebook ก็น่าจะจริงถ้าเราเป็นคนชอบสังคม แต่บางครั่งเราก็เป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียว ชอบที่จะเงียบ ชอบคิด และสังคนแบบ Facebook ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราอยู่ร่วมตลอดเวลา อาจบางทีเราอาจชอบที่จะอยู่โดดเดี่ยว

ที่เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2552

ที่ผ่านมาได้เรียนรู้ที่จะทำบางสิ่งและไม่ทำบางสิ่ง
และพยายามที่จะเรียนรู้จิต ใจ และร่างกายของตนเอง พยายามดูให้เห็นความเคลื่อนไปและถอดถอนตัวเองต่อไป

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประวัติ Internet

ประวัติอินเทอร์เน็ต อายุ 50 ปี (เกิดหลังผม 10 ปี พอดี 555)
เก็บมาฝากไว้ อ้างอิงรูปจาก http://www.freewarelands.com/pic/internet.jpg

internet-history

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันศุกร์ ที่ 19 ตุลาคม 2555 เกษียนณมาครบ 19 วัน

19 วันที่ผ่านมาได้อยู่กับครอบครัวมาโดยตลอด วันๆ ก็ Online ไปเรื่อยเปื่อยศึกษาเพิ่มเติมบ้าง ติดต่อกับน้องๆ ที่หวังจะให้ไปสอน KM Workshop บ้าง ยังไม่ได้ทำกิจต่างๆ เป็นกิจจลักษณะพักผ่อนหลังจากทำงานมานาน 37 ปี 8 เดือน
อยูบ้านกายสบาย ไร้งานเป็นภาระ กินอิ่มจนอ้วน ไม่ต้องห่วงหากัน(ครอบครัว) ไม่ต้องโทรหากัน
กรรมดั่งนั้นสิ้นไป แต่ยังมีกรรมใหม่มา
ดูแลจิตใจตัวเอง เขียน Blog ไป แต่งกลอนไป ท่องเน็ตไป

วันนี้ไปที่ ห้องสมุด สสส.

ในนั้นมีหนังสือหลายอย่าง เช่น 10 เล่มสุดฮิต หนังสือ 10 เล่มสุดฮิต ที่ใครๆก็อยากอ่าน เล่มใหม่ร้อนๆ
นิทานคุณธรรม สื่อรัก สื่อคุณธรรม : สัตว์ประหลาด...ของอารี 100 เล่มที่ต้องอ่าน รวมหนังสือน่าสนใจกว่า 100 เล่มที่ไม่ควรพลาด Collection เด่น พลาดไม่ได้แล้ว!!! Collection หนังสือน่าอ่าน รวมหนังสือดีๆ น่าสนใจไว้ที่นี่ คลังวิชาการ
สำรวจดูรายการหนังสือ ที่บอกว่า 100 เล่มที่ไม่ควรพลาดมีหนังสือเพียง 25 เล่ม แต่อย่าพึ่งว่าเขานะครับคงยังใส่ไม่หมด ที่สำคัญไม่ใช่ 100 เล่มที่คนไทยควรอ่านแต่หาอ่านฟรีไม่ได้ ในหัวข้อเล่มใหม่ร้อนๆ มีหนังสือตั้ง 520 เล่ม ลองไปสำรวจเล่นๆ พบหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ


บันทึกการเรียนรู้ Authentic Leadership
บันทึก การเรียนรู้ที่เรียบเรียงมาจากการอบรมเชิงปฏิบัติการ Authentic Leadership ทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เข้าอบรมเกิดการพัฒนาสภาวะภายในของตนเองสู่การ เป็นผู้นำที่แท้ และพัฒนาทีมเรียนรู้เพื่อสร้างสังคมเรียนรู้ การมีวิสัยทัศน์ร่วมกันและการเป็นนายเหนือตนเอง ซึ่งเป็นหัวใจของความเป็นผู้นำ

ลอง Download มาอ่าน (หนังสือเหล่านั้น Download มาอ่านได้ครับ)


 คราวนี้น่าจะไม่ว่างไปอีกนาน มีห้องสมุด Online ที่ไม่หวงหนังสือ และมีให้อ่านได้จริงๆ เยอะมาก
สมกับที่ผมสมทบทุนให้ไปเยอะ 555


วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อยู่บ้าน ทำงานที่บ้าน

อยู่ที่บ้านมาได้หลายวันแล้ว ชีวิตอยู่ที่ลำปาง ทำงานที่บ้าน

มุมทำงานในบ้าน
ติดต่อโลกภายนอกผ่านทาง Internet 3BB 10 Mb เร็วพอสมควร แต่ NoteBook ตัวเก่ายังทำงานได้อยู่

Note Book ตัวเก่า ได้มาสมัยไปสอน KM ปี 49
Key Board เสีย ก็ต่อ USB Key Board เอา ต่อ USB Mouse ด้วย ต่อลำโพงภายนอกด้วย ถ่านไม่ดีแล่้วเลยเสียบ Charger ทั้งวัน

ทำงานได้ครับ (ถ่ายโดย ณัฐภัทร เก็งธรรม) 
ผลิตงานจากที่บ้าน หากใครมีอะไรให้ทำที่ผ่านเครือข่าย โปรดเรียกใช้ได้นะครับ

ด้วยจิตนอบน้อม
ตุ๊ดตุ่ ร่าเริง

พบกันที่ http://rarearntoo.blogspot.com และ http://toodtooster.blogspot.com
ติดต่อได้ที่ rarearntoo@gmail.com
Facebook http://www.facebook.com/toodtoo.rarearn

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

ชีวิตใกล้เกษียณ

ชีวิตผมเริ่มนับหนึ่งในหลายสถานะ
เริ่มจากหนึ่งขวบปีของชีวิตเรื่อยมาจนปัจจุบันหกสิบปี
การศึกษา เริ่มจากประถมหนึ่ง มัธยมศึกษาปีที่หนึ่ง นักศึกษาวิทยาลัยปีที่หนึ่ง นักศึกษาปรึญญาตรีปีที่หนึ่ง นักศึกษาปริญญาโทปีที่หนึ่ง แต่ละครั้งมีปีที่สิ้นสุดไม่เท่ากัน เจ็ดปีในประถม ห้าปีในมัธยม สี่ปีในวิทยาลัยที่ตอนจบเปลี่ยนเป็นสถาบัน สองปีในปริญญาตรี ห้าปีในปริญญาโท
การทำงาน หนึ่งปีในบริษัทกรุงเทพเอ็นจิเนียริ่ง ครึ่งปีในการรับราชการทหารอากาศ สองเดือนในการรับจ้างน้าทำงาน สามสิบแปดปีในการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
แล้วผมก็จะต้องเริ่มชีวิตใหม่ในชีวิตหลังเกษียณ เริ่มนับหนึ่งใหม่
การเดินทางของชีวิตผ่านหลายสถานะ เป็น ลูก น้อง พี่ เพื่อน ลูกน้อง เจ้านาย สามี พ่อ ลูกศิษย์ ครู ผู้ฝึกงาน ผู้ชำนาญการ ผู้เชี่ยวชาญ ที่ปรึกษา หลายประการ

ตลอดเวลา ทัศนะคติ ความเห็น ความเชื่อ และพฤติกรรมของผม เคลื่อนไปเรื่อยๆ
เป็นคนสบายๆ ไม่คำนึงถึงเรื่องราว ไม่วางแผน ไม่มีอนาคต แล้วมาเป็นคนยึดมั่น มีแบบแผน วางแผน จัดความสัมพันธ์ สร้างอนาคต และปัจจุบัน ผมไม่ยึดถือสิ่งใดได้ ผมเคยกล่าวไว้ว่า

ไม่ได้เอาอะไรมา ไม่ได้เอาอะไรไป ไม่มีอะไรฝากไว้ อยู่อย่างไร้ตัวตน ไปและมาดั่งสายลม

สิ่งต่างผ่านมาและจะผ่านไป เคลื่อนไปตามที่เราเผชิญมาสร้างอนาคตเราต่อไป
ผมเชื่อว่าทุกสิ่งจะเคลื่อนไปจนกว่าชีวิตจะเข้าสู่สมดุล ที่เป็นธรรมดาอย่างนั้นเอง



ประวัติ

                                       ชื่อ-สกุล:     นายศิริวัฒน์ เก็งธรรม
การศึกษา:
ปริญญาโท  บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (2540)
ปริญญาตรี  บริหารธุรกิจบัณฑิต (การจัดการงานก่อสร้าง) มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2525)
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง วิศวกรรมการสำรวจ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง (2516)
เชี่ยวชาญ:
ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (การออกแบบการพัฒนา การวางแผน การจัดการฝึกอบรมและพัฒนา การประเมินผลการอบรมและพัฒนา)
การวิจัยปฏิบัติการและการวิจัยประยุกต์
กระบวนการทำงานพัฒนาชุมชน
วิทยากรกระบวนการการจัดการความรู้

ประสบการณ์ทำงาน
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 2517-2555
งานอพยพราษฎรและจัดกรรมสิทธิ์ 2517-2540
ตามโครงการก่อสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำของ กฟผ. (เขื่อนศรีนครินทร์         จ.กาญจนบุรี 2517-2519 งานสำรวจแบ่งแปลงที่ดินและแนวถนน เขื่อนบางลาง จ.ยะลา 2519-2524 งานสำรวจบุกเบิกบริเวณก่อสร้างเขื่อน บ้านพักแคมป์บริเวณ งานก่อสร้างถนนและสะพานหมู่บ้านอพยพ เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี 2524-2530 งานสำรวจบุกเบิกบริเวณก่อสร้างเขื่อน บ้านพักแคมป์บริเวณ งานก่อสร้างถนนและสะพานหมู่บ้านอพยพ โครงการจัดการส่งน้ำแม่เมาะ       จ.ลำปาง 2530-2541 งานแบ่งแปลง ก่อสร้างหมู่บ้านอพยพ งานอพยพราษฎรและส่งเสริมอาชีพ งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการ )



งานพัฒนาบุคลากร 2541-2553
งานพัฒนาบุคลากรฝ่ายฝึกอบรม งานอบรมด้านเทคนิคโรงไฟฟ้าถ่านหิน งานฝึกอบรมด้านบริหารจัดการ อาชีวะอนามัยและสารสนเทศ ศูนย์ฝึกอบรมแม่เมาะ  จ.ลำปาง 2541-2553 งานบริหาร จัดการฝึกอบรม ทั้งภายในและภายนอก กฟผ.
วิทยากรกิจกรรมพัฒนาคุณภาพงาน (QCC) 2534-ปัจจุบ้น (QCC Kaizen Suggestion 5S. Concept & Tool กรรมการตัดสินกลุ่มคุณภาพ ทึ่ปรึกษากลุ่มคุณภาพ)
งานพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) 2541-2548
ผู้บริหาร ที่ปรึกษา และวิทยากร ของหน่วยงานร่วมให้คำปรึกษาแนะนำ(การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมในโครงการเร่งรัดปรับปรุงประสิทธิภาพ SME 1-4 โครงการชุบชีวิตธุรกิจไทย 1-2
ผู้บริหาร และวิทยากร โครงการพัฒนาที่ปรึกษาอุตสาหกรรมขนาดย่อม รุ่นที่ 5-7กรมส่งเสริมอุตสาหรรม
วิทยากรด้าน การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการวางแผนธุรกิจ
งานวิชาการและแผนงาน 2553-2555
คณะผู้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการและประเมินผลการปฏิบัติงาน ผู้ช่วยผู้ว่าการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ สายงานรองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า กฟผ.
งานการจัดการความรู้  2548-2555
วิทยากร และวิทยากรกระบวนการ การจัดการความรู้ของ สายงานรองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า กฟผ. การจัดการความรู้เบื้องต้น การจัดการความรู้สำหรับผู้บริหารระดับ 10 ขึ้นไป และหลักสูตรการฟังเพื่อความงอกงามของชีวิต
ผู้ออกแบบหลักสูตร และกระบวนกร หลักสูตรผู้นำการเปลี่ยนแปลงและผู้สนับสนุนการจัดการความรู้ (Change Agent & Facilitator for Knowledge Management)
คณะผู้ตรวจประเมิน และคณะผู้จัดทำแผนแม่บทการจัดการความรู้ สายงานรองผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า
งานวิจัย  2537-2555
ผู้วิจัยและที่ปรึกษา งานวิจัยปฎิบัติการและวิจัยประยุกต์ ด้านชุมชน และกระบวนการทำงานกับชุมชน
งานอื่นๆ
วิทยากรหลักสูตรการบันทึกภาพความคิด และการใช้โปรแกรม Freemind บันทึกภาพความคิด

กิจกรรมพิเศษ
ด้านการศึกษา
คณะผู้เชี่ยวชาญเนื้อหาวิชาในการเขียนบทเรียนตามอัธยาศัยของศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนภาคเหนือ กรมการศึกษานอกโรงเรียน (กัลยานิมิตรเพื่อชีวิตที่งอกงาม และประวัติศาสตร์ไทยสำหรับนักเรียนประถม ช่วงชั้นที่สอง)
ด้านเยาวชน
รองประธานชมรมส่งเสริมพัฒนาเยาวชนแม่เมาะ
ผู้จัดทำโครงการครอบครัวอบอุ่นวัยรุ่นสดใส โครงการจัดการส่งน้ำแม่เมาะ
ผู้ฝึกสอนและพี่เลี้ยงค่ายเยาวชน
ด้านกีฬา
รองประธานชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพแม่เมาะ
ประธานชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพโครงการจัดการส่งน้ำแม่เมาะ

ปัจจุบัน
นักวิจัย และกระบวนกรอิสระ

รายการที่สนใจ
กระบวนกรในการจัดการความรู้ในองค์กร
การวิจัยปฏิบัติการและการวิจัยประยุกต์ด้านพัฒนาชนบท
การออกแบบการพัฒนา การวางแผน การจัดการฝึกอบรมและพัฒนา การประเมินผลการอบรมและพัฒนา

การติดต่อ
ศิริวัฒน์ เก็งธรรม
256 หมู่ 16 ตำบลพิชัย อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง 52000

Website 
นักเรียนของชีวิต http://rarearntoo.blogspot.com และ
นับหนึ่ง หลังเกษียณ 2555 http://toodtooster.blogspot.com
Facebook http://www.facebook.com/toodtoo.rarearn และ
เรียนรู้ตลอดชีวิต