วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๗

วัดศรีรองเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่มาถึง เปลี่ียนศักราช ใจคนยังคงเหมือนเดิม 

ปีที่ผ่านมาบ้านเมืองวุ่นวาย ผู้คนมีความเห็นแตกต่างกัน เชื่อในเรื่องที่แตกต่างกัน เอาความเชื่อของตนมายึดเป็นหลัก และขัดแย้งกัน ความแตกต่างกัน และขัดแย้งกันไม่แปลกเป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติของผู้คน ชุดความคิดที่แตกต่างกัน เกิดจากศรัทธาความเชื่อ การหล่อหลอมจากสังคม การซึมซับวัฒนธรรม การอยู่ในชนชั้นที่ต่างกัน และอื่นๆ อีกมากมาย
ในประสบการณ์ของแต่ละคน เมื่อผ่านวันเวลา สิ่งต่างจึงหล่อหลอมให้เป็นคน คนที่มีชุดความคิดชุดความเชื่อที่ต่างกัน หากต่างคนต่างอยู่ในที่ทาง ชุดความคิดและความเชือนั้นยังไม่ปะทะกัน
เมื่อชุดความคิดและความเชือถูกกระตุ้น มีการรวมกันของชุดความคิดและความเชือ พลังของการหลอมรวมจึงเกิดขึ้น
เนื่องจากความงาม ความดี ความจริง ของแต่ละคนที่คิดและเชื่อ ต่างกัน เป็นคนละชุดความคิดและความเชือ เมื่อถูกจัดวางในสังคม และต่อสู้กัน การปะทะกันและความต้องการเอาชนะจึงดำเนินไปตามการกระตุ้นนั้น
การปะทะ การต่อสู้ สุดท้ายมีผล ผลที่เลือกได้ แพ้-แพ้ แพ้-ชนะ ชนะ-แพ้ และชนะ-ชนะ 
ถ้าเลือกแพ้-ชนะหรือชนะ-แพ้ อาจนำไปสู่ แพ้-แพ้ได้ 
มีวิธีการมากมายสำหรับการต่อสู้ การกระตุ้นปลุกเร้าด้วยคำพูดก็เป็นวิธีการหนึ่ง และการกระตุ้นปลุกเร้านั้นเป็นไปเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายตน และทำให้ฝ่ายตรงข้ามหมดความชอบธรรม ความชอบธรรมที่ใช้คือ ความเป์นชาติ ความดีงาม ความสุจริต และอื่นๆ ในขณะที่ความไม่ชอบธรรมคือ ไม่รักชาติ เป็นคนเลว เป็นคนโกง และอื่นๆ
เมื่อกระตุ้นปลุกเร้าไป นานเข้า นานเข้า ถ้อยคำเหล่านั้นถูกผลิตซ้ำ วันแล้ววันเล่า จนเหมือนเป็นจริงในจิตจินตนาการมา การคุกคาม การทำร้าย จะตามมา จากถ้อยคำนำไปสู่การทำลายต่อไป มีตัวอย่าง มีประวัติศาสตร์ให้เห็น แต่เราไม่ค่อยศึกษากัน

หวังว่าปีใหม่นี้ เราจะสงบ กลับมามีสติ กลับมาฟังกันและกัน กลับมารักใคร่กัน การทำลายกันและกันนั้นเป็นการทำลายตัวเองในเบื้องต้น ทำลายสังคมในท่ามกลาง และทำลายสิ่งที่เรารักในที่สุด 

หวังว่าปี 2557 นี้ เราจะนำพาจิตใจของเราให้ก้าวไป มีพัฒนาการที่เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์สังคม 
สงบ สันติ

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อิสรภาพ

(จากส่วนหนึ่งของ ปรัชญาชีวิต ของ คาลิล ยิบราน KHALIL GIBRAN แปลโดย ระวี ภาวิไล)

...
    และนักพูดคนหนึ่งกล่าวว่า
    ได้โปรดพูดกับเราถึง อิสรภาพ และท่านตอบว่า

    ที่ประตูเมืองและที่ข้างเตาไฟ
    เราได้เห็นเธอกราบกรานแลบูชาอิสรภาพของตนเอง
    ดูประหนึ่งข้าทาสน้อมตนเฉพาะหน้าทุรราช
    และกล่าวเยินยอแม้ว่าตนจะถูกพิฆาตฆ่า

    ถูกแล้วที่ต้นไม้รอบโบสถ์ และในร่มเงาของป้อมปราการ
    เราได้เห็นเธอที่เป็นอิสระที่สุด
    สวมใส่อิสรภาพของตน ดุจดังขื่อคาและโซ่ตรวน
    และดวงใจเราก็หลั่งเลือดอยู่ภายใน
    เพราะเธอเป็นอิสระได้ทั้งที่
    ความกระหายในอิสรภาพเป็นบังเหียนรั้งเธออยู่
    และเมื่อเธอเลิกกล่าวถึงอิสรภาพว่า
    เป็นจุดหมายปลายทางและความบรรลุผลแล้ว
    เธอย่อมเป็นอิสระแน่แท้
    ทั้งที่วันของเธอยังมีความรับผิดชอบ
    และคืนของเธอยังมีความต้องการและความระทม
    ด้วยแม้เมื่อสิ่งเหล่านี้เกี่ยวรัดชีวิตของเธอไว้
    เธอก็ยังสามารถหลุดลอยขึ้นเหนือมัน
    เปล่าเปลือย และไม่ถูกผูกมัด
    และเธอจะหลุดลอยขึ้นเหนือทิวาและราตรีของเธอได้อย่างไร
    นอกจากจะทำลายโซ่ตรวน ซึ่ง ณ อรุโณทัยแห่งความเข้าใจนั้น
    เธอได้ผูกมัดมันไว้รอบยามเที่ยงของเธอเอง

    ตามสัตย์จริงสิ่งที่เธอเรียกว่าอิสรภาพนี้
    คือโซ่ตรวนแบบนี้ที่แข็งแรงที่สุด
    แม้ว่าข้อต่อของมันจะต้องแสงแดดเป็นประกายจับตาของเธอ
    สิ่งที่เธอจะต้องสละทิ้งไปเพื่อจะบรรลุอิสรภาพนั้น มิใช่สิ่งอื่นใด
    แท้จริงก็คือชิ้นส่วนของอาตมันของเธอนั่นเอง
    ถ้าเธอต้องการลบล้างกฎหมายอันไม่เป็นธรรม
    ก็กฎหมายนั้น แท้จริงเธอได้จารึกไว้ด้วยมือตนบนหน้าผากตนเอง
    เธอไม่อาจลบถูมันหมดได้โดยเผาตำรับกฎหมาย
    หรือล้างหน้าผากตุลาการของเธอ
    แม้ว่าเธอจะราดรดด้วยน้ำทั้งมหาสมุทร

    และแม้เธอจะโค่นบัลลังก์ทุรราช
    ก็จงดูให้แน่ใจเสียก่อนว่า
    บัลลังก์ของเขาภายในเธอถูกทำลายก่อนแล้ว
    เพราะทุรราชจะปกครองอิสรชน และผู้หยิ่งผยองได้อย่างไร
    ถ้าไม่เพื่อข่มขี่อิสรภาพ
    และก่อความอัปยศในความทะนงของเขาเหล่านั้นเอง
    และถ้าเธอสามารถจะเหวี่ยงความหวั่นระวังไปให้พ้น
    ก็ความหวั่นระวังนั้นเอง เธอได้เป็นผู้เลือกเอา
    มิได้มีใครนำมาบังคับแก่เธอ
    และถ้าเธออยากขจัดความหวั่นกลัว
    รากฐานของความกลัวนั้นก็อยู่ในดวงใจของเธอเอง
    มิใช่ในเงื้อมมือของสิ่งที่เธอกลัว


    แท้จริงสรรพสิ่งอันเคลื่อนไหวอยู่ในเธอนั้น
    ดำรงอยู่ในความกอดรัดเพียงกึ่งเดียวเสมอ
    ทั้งสิ่งต้องปรารถนาและสิ่งที่พรั่นพรึง
    สิ่งน่าขยะแขยง และสิ่งต้องอารมณ์
    ทั้งสิ่งที่เธอไล่ไขว่คว้า
    และสิ่งที่เธอต้องการหลบลี้

    สิ่งเหล่านี้เคลื่อนไหวอยู่ภายในเธอ
    ดุจความสว่างและเงามืดอันกอดรัดกันอยู่เป็นคู่
    และในเมื่อเงามืดจากและสูญไป
    ความสว่างอันคงอยู่ก็กลายเป็นเงาของความสว่างใหม่ต่อไป
    เช่นเดียวกันนี้เมื่อพันธนาการแห่งอิสรภาพของเธอสิ้นสูญไป
    มันเองก็กลายเป็นพันธนาการ
    ของอิสรภาพอันยิ่งใหญ่กว่าต่อไป

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ความดีและความชั่ว : เรียนรู้ที่จะมีชีวิตด้วยบัญญัติของตัวเอง

(บางส่วนจากหน้าที่ ๒๔๕ ถึง ๒๕๐ หนังสือ "พลิกมุมใหม่ เข้าใจชีวิต" ประพันธ์โดย OSHO แปลโดยนารา พัทนวิโรจน์ เรียบเรียงโดยภัทริณี เจริญจินดา สำนักพิมพ์ ฟรีมายด์ พิมพ์ครั้งที่ ๑ - ตุลาคม ๒๕๕๖)

ทุกศาสนาได้บัญญัติข้อปฏิบัติทางศาสนาขึ้นมาเอง ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติแปลกปละหลาดและไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งมาจากความกลัวและความโลภ แต่ศาสนาเหล่านั้นกลับทำให้มีมนุษยชาติผู้น่าสงสาร ซึ่งท่านจะพบเห็นได้ทั่วทุกมุมโลก
แม้นแต่คนที่ร่ำรวยที่สุดก็ยังน่าสงสารเพราะเขาไม่มีอิสระที่จะทำตามจิตสำนึกของเขา เขาต้องทำตามข้อปฏิบัติที่มาจากใครบางคน และไม่มีใครรู้ว่าคนคนนั้นเป็นแค่คนโกหกและฉ้อฉล หรือว่าเป็นแค่นักกวีและคนช่้างฝัน มันไม่มีหลักฐาน เพราะมีหลายคนกล่าวอ้างว่าพวกเขาเป็นพระเจ้าจุติลงมาเกิด เป็นผู้นำสารมาจากพระเจ้า และเป็นผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาล้วนนำสารที่แตกต่างกันมา หากไม่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเพี้ยน คนเหล่านี้ก็โกหกและเป็นไปได้มากที่พวกเขาจะโกหก
มันทำให้ที่รู้สึกถึงอัตตาตัวตนอันยิ่งใหญ่ หากท่านเป็นผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้าหรือผู้นำสารมาจากพระเจ้า ท่านจะเป็นคนสำคัญที่ไม่ใช่แค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง และท่านครอบงำคนอื่นได้ นี่คือการเมืองรูปแบบต่างๆ ที่ใดมีการปกครองหรือการครอบงำด้วยอำนาจ ที่นั่นมีการเมือง
นักการเมืองมีอิทธิพลผ่านกำลังอำนาจทั้งกองทัพ อาวุธยุทธภัณฑ์ และอาวุธปรมาณู ส่วนผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า ผู้นำสารจากพระเจ้า และผู้มาช่วยไถ่บาปกำลังครอบงำท่านทางด้านจิตจิญญาณ ซึ่งอันตรายยิ่งกว่าเพราะพวกเขาเป็นยิ่งกว่านักการเมือง พวกเขากำลังครอบงำชีวิตของท่านไม่เพียงแต่ภายนอก แต่รวมถึงภายในด้วย พวกเขาได้เข้าควบคุมภายในตัวท่าน พวกเขากลายเป็นผู้กำหนดศีลธรรมและมโนธรรมให้ท่าน พวกเขาได้เข้าครอบครองจิตวิญญาณของท่าน พวกเขาได้ครอบงำท่านจากภายใน โดยการบอกว่าสิ่งนี้ถูกสิ่งนี้ผิด ท่านต้องทำตามที่พวกเขาบอก มิฉะนั้นท่านจะรู้สึกว่าทำผิด และรู้สึกผิดเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดทางจิตวิญญาณ หากท่านทำตามพวกเขา ท่านจะเริ่มรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ หากที่ทำตามธรรมชาติของท่าน ท่านจะไม่ทำตามผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้าและผู้มาช่วยไถ่บาป ท่านจะเริ่มต่อต้านมโนธรรมที่พวกเข้าได้ปลูกฝังในตัวท่าน
ทุกศาสนาได้สร้างสถานการณ์ที่ทำให้เราไม่อาจจะสบายใจไรกังวลได้ เราเบิกบานกับชีวิตไม่ได้ เราดำรงอยุ่ในความสมบูรณ์ของชีวิตไม่ได้ ดังนั้นข้าพเจ้าขอแนะนำว่ามันจะเป็นการดีกว่า ที่จะให้มนุษยชาติเป็นอิสระจากความเชื่องมงายต่างๆ ที่ครอบงำมนุษย์อย่างเลวร้าย และบิดเบือนธรรมชาติของมนุษย์อย่างใหญ่หลวง ท่านพบเห็นมนุษยชาติที่เป็นผลจากสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อท่านกล่าวว่าเราจะรู้จักต้นไม้สักต้น ก็ให้ดูที่ผลของมัน หากนั้นเป็นความจริง เรื่องนี้ก็เป็นความจริง ดังนั้นการกระทำที่ผ่านมาของผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า ผู้มาช่วยไถ่บาป พระเจ้า และซาตาน ก็ควรจะถูกตัดสินจากมนุษยชาติที่ท่านพบในวันนี้
มนุษยชาติที่เสียสติเหลานี้ไม่มีความสุข พวกเขาทุกข์ยาก เต็มไปด้วยความโกรธแค้น ความเดือดดาล และความเกียดชัง หากนี่เป็นผลจากศาสนาของท่าน จากผู้นำของท่าน ไม่ว่าทางศาสนาหรือทางการเมือง มันจะเป็นการดีกว่าที่จะให้ทั้งพระเจ้าและซาตานนั้นจากไป เมื่อพระเจ้าและซาตานได้จากไปแล้ว ผู้นำทางการเมื่องและผู้นำทางศาสนาก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนอีกต่อไป และพวกเขาก็จะจากไปในไม่ช้า
ข้าพเจ้าต้องการให้ผู้คนเป็นอิสระทั้งในเรื่องการเมืองและศาสนา แต่ละคนควรจะมีอิสระในทุกด้านที่จะทำสิ่งต่างๆ จากเสียงภายในของเขาเองและจากจิตสำนึกของเขาเอง แล้วโลกก็จะสวยงาม และนี่เป็นการปฏิวัติอย่างแท้จริง

คำถาม ท่านกล่าวว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไม่ใช่สิ่งจำเป็น หากเข่นนั้นจะพัฒนาการนำทางที่มาจากข้างในได้อย่างไร เพื่อให้ช่วยตัดสินใจในเรื่องชีวิตได้ถูกต้อง

ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหรือมโนธรรมเหมือนกับภาพถ่ายบนจาน ในขณะที่ความรู้สึกตัวหรือจิตสำนึกเหมือนกับกระจก ทั้งสองอย่างล้วนสะท้อนภาพความเป็นจริง แต่กระจกไม่เคยยึดติดกับภาพสะท้อนใด มันยังคงว่างเปล่า ดังนั้นมันยังคงสะท้อนภาพใหม่ๆ ได้อีก หากเป็นเวลาเช้ามันก็สะท้อนภาพเวลาเช้า หากเป็นเวลาเย็น มันก็สะท้อนภาพเวลาเย็น ภาพถ่ายบนจานเป็นภาพสะท้อนความเป็นจริงที่ตายตัว หากท่านถ่ายภาพเข้าไว้เวลาเช้า มันก็เป็นภาพเวลาเวลาเช้าตลอดเวลา ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นภาพเวลากลางคืนไปได้
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนามโนธรรม สิ่งที่ต้องทำคือการละทิ้งมโนธรรมและพัฒนาจิตสำนึก ละทิ้งทุกอย่างที่ได้รับการสั่งสอนมาจากผูู้อื่น และเริ่มมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง และค้นคว้า ค้นหา แน่นอนในระยะแรกอาจจะลำบาก เพราะท่านไม่มีแผนที่ แผนที่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ท่านจะต้องเคลื่อนไปโดยปราศจากแผนที่ ท่านจะต้องเคลื่อนไปในที่ที่ไม่คุ้นเคยโดยไม่มีคำแนะนำ คนขี้ขลาดไปไหนไม่ได้หากไม่มีการชี้นำหรือไม่มีแผนที่ และเมื่อท่านเคลื่อนไปพร้อมด้วยแผนที่และคำชี้แนะ ท่านจะไม่ได้เข้าไปในที่แห่งใหม่หรืออาณาจักรแห่งใหม่ ท่านกำลังเดินอยู่ในวงกลม ท่านจะยังคงไปในที่ที่ท่านรู้จักเท่านั้น ท่านจะไม่กระโจนลงไปในสถานที่ที่ท่านยังไม่รู้จัก มีเพียงความกล้าหาญเท่านั้นที่จะละทิ้งมโนธรรมได้
มโนธรรมหมายถึงความรู้ทั้งหมดที่ท่านสะสมไว้ และจิตสำนึกหมายถึงความว่างเปล่าจากสิ่งที่ท่านสะสม เป็นความว่างเปล่าอย่างที่สุด และเคลื่อนเข้าไปในชีวิตด้วยความว่างเปล่า มองเห็นสิ่งต่างๆ ผ่านความว่างเปล่า และทำสิ่งต่างๆ จากความว่างเปล่า แล้วการกระทำของท่านจะเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา และไม่ว่าท่านจะทำอะไร สิ่งนั้นจะถูกต้อง มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าอะไรถูกหรือผิด เพราะอะไรที่ถูกในวันนี้อาจจะผิดในวันรุ่งขึ้นก็ได้ และความรู้ที่ขอยืมมาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
...
ผู้ที่เข้าใจชีวิตรู้อยู่เสมอว่าชีวิตไม่ได้ดำเนินไปตามหลักเหตุผล ชีวิตเป็นเรื่องที่อยู่เหนือหลักเหตุผล ชีวิตนั้นดำเนินไปอย่างไม่มีเหตุผล และโดยพื้นฐานมันคือความไร้เหตุผล มโนธรรมเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่าและไม่เป็นธรรมชาติด้วย มันให้แบบฉบับที่ตายตัว แต่ชีวิตดำเนินไปบนความเปลี่ยนแปลง ชีวิตเป็นสิ่งที่หาความแน่นอนไม่ได้ มันขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา หากท่านไม่มีความรู้สึกตัว ท่านก็จะมีชีวิตอย่างแท้จริงไม่ได้ ชีวิตของท่านจะมีแต่การเรียกร้องและปรากฏการณ์ที่หลอกลวง ท่านจะพลาดการมีชีวิตตลอดเวลา
...
จงมีความรู้สึกตัวและอย่าถามว่าจะพัฒนามโนธรรมได้อย่างไร ตอนนี้เรากำลังพยายามทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เรากำลังทำลายมโนธรรม มโนธรรมของชาวคริสต์ มโนธรรมของชาวฮินดู มโนธรรมของชาวมุสลิม และมโนธรรมของชาวเชน เรากำลังทำลายมโนธรรมทุกชนิด เพราะมโนธรรมมาในทุกรูปแบบและทุกมิติ
ความรู้สึกตัวหรือจิตสำนึกนั้นไม่เป็นทั้งชาวคริสต์ ชาวฮินดู หรือชาวมุสลิม มันเป็นแค่จิตสำนึกเท่านั้น มโนธรรมแบ่งแยกผู้คน แต่จิตสำนึกรวมผู้คนเป็นหนึ่งเดียว
...

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พลิกมุมใหม่เข้าใจชีวิต

อ่านหนังสือเพื่อเรียนรู้ใหม่


ชอบหน้าแรก
แปล เรียบเรียง และคำนิยม โดย

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วัชพืช

ลองจิตตนาการดูนะ เราปลูกสวนสวยแล้วบำรุงรักษาดูแลหล่อเลี้ยงเพื่อชื่นชม ต้นไม้งามแต่ละต้นถูกจัดวางปลูกไว้ในที่ทางของเขา เราออกแบบไว้แล้ว ต้นจำปีอยู่ตรงนี้ มีต้นไทรยอดทองตัดแต่งอยู่ด้านข้าง ถัดไปเป็นต้นปาล์มที่มีต้นชาดัดล้อมไว้รอบตัดแต่งเป็นเหมือนถ้วยทรงกลมรองรับรับบล้อกับต้นไทรยอดทอง เฟื่องฟ้าอยู่ในกระถางตัดแต่งออกดอกสีม่วงต้นสีแดงต้น ตั้งเคียงน้ำพุน้ำผุด มีต้นหัวใจม่วงปูอยู่ด้านล่างมีดอกสีม่วงอ่อนเรูปหัวใจออกประปราย ต้นกกราชินีในกระถางอิ่มน้ำอยู่ในกระถางทรงสูง และสีเขียวของแว่นแก้วในอ่างทรงเตี้ยดูสอดรับสลับสีสรร พรรณไม้นานาล้วนลงตัวสวยงามตามใจคนจัด

สวนสวยของเราที่ดูแลเวลาผ่านไปมีต้นไม้ที่เราไม่ต้องการเพิ่มเข้ามา สวนสวยของเราเริ่มรกต้นหญ้าแพรกแทรกตัวออกหัวใหญ่กำลังเลื้อยและรุกราน ต้นสาบเสือต้นเล็กๆ ขึ้นประปราย ต้นไม้ที่ไม่ได้ปลูกเพิ่มขึ้น เราปล่อยเวลาไปต้นไม้เหล่านี้โตและมีกำลัง รกรุงรังด้วยวัชพืขพืชที่ขึ้นมาเองตามธรรมชาติโดยที่เราไม่ต้องการ สร้างความเสียหายให้สวนสวยของเรา

วัชพืชไม่ได้ปลูกไม่ต้องการแต่ก็มาปรากฏ เราต้องรักษาความสวยของสวนเราไว้เราต้องลงมือกำจัดวัชพืชที่ไม่ต้องการนั้น ไม่ยากต้นไหนไม่ได้ต้องการก็เอาออกไป ด้วยสังขารที่ใช้มา 61 ปีแล้ว เราใช้ม้านั่งตัวเตี้ยนั่งลงใช้มีดและเสียมเล็กๆ ค่อยๆ กำจัดวัชพืชเหล่านั้น ฟังดูเหมือนไม่ยากแต่เมื่อลงมือเราพบว่า การแยกวัชพืชออกจากพืชประดับที่ปลูกนั้นไม่ง่ายนัก บางครั้งเราเผลอดึงต้นที่ปลูกออกไปด้วย บางครั้งการแซะวัชพืชก็สร้างความเสียหายเช่นกัน

เมื่อนั่งลงดูให้ละเอียดวัชพืชบางอย่างมีความสวยงามงอกงามเองดีด้วย ดีกว่าพืชที่เราปลูกด้วยพืชที่เราปลูกนั้นบางทียังไมเต็มพื้นที่พืชต่างๆจึงขึ้นในพื้นที่ว่างเหล่านั้น
นั่งจัดการนำวัชพืชออกจากสวนสวยแล้วรู้สึกเหมือนกับการรักษาจิตใจของเรา เราต้องการสร้างใจสวยเราปลูกสิ่งดีงามไปเฝ้าดุแล แต่พื้นที่ว่างในใจยังมีที่ให้วัชพืชของใจงอกงามได้ เราต้องหมั่นระวังสิ่งไม่ดีไม่ให้มีที่ยืนในใจเรา เราต้องกำจัดสิ่งไม่ดีที่มีอยู่ออกจากใจเรา เราต้องหาสิ่งที่ดีๆมาเติมเต็มช่องว่างในใจเรา และรักษาสิ่งดีที่มีอยุ่แล้วให้คงอยุ่
บางครั้งเราก็หลงไปว่าวัชพืชบางอย่างสวยงามและปล่อยให้มันคงอยู่ หากมันสวยงามจริงมีประโยชน์จริงก็จะช่วยเสริมให้เรามีสวนที่สวยงามมากขึ้น แต่ถ้ามันเกิดกลับกลายจากต้นเล็กที่สวยเป็นต้นโตที่รุงรังเราจะกำจัดมันได้ยาก ใจเราก็เช่นกันต้องพิจารณาให้ดี ด้วยสติ ด้วยปัญญาแห่งความเมตตา สิ่งที่เราจัดในใจเรานั้นจะได้งดงามเป็นที่น่าชื่นชมเหมือนกับสวนสวยของเราที่ยังความชุ่มชื่นใจให้กับผู้พบเห็น
บันทึกไว้ในวันเข้าพรรษา ปี 2556
ด้วยจิตนอบน้อม
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปลายทางของความคิด สร้างชีวิต ด้วยการกระทำ

เราแสวงหาอันใด

เห็นจุดเริ่มต้นของตัวตนเราไหม ทบทวนให้ดีว่าเราคือใคร ทีหายใจอยู่ทุกวันนี้รู้กฏของชีวิตไหม รู้และเข้าใจอย่างแท้จริงนะ ถ้ารู้แล้วเราก็จะวางใจได้ถูกต้อง มองเห็นเป้าหมายใช้ชีวิตไปให้ตรงกับเป้าหมายของเรา เป็นอยู่อย่างราบรื่นด้วยเลือกสัมพันธ์กับสิ่งที่ดี ทั้งหมดอยู่ที่ใจของเรา (สรุปจากเข็มทิศชีวิต)
บ่อยครั้งที่ธรรมดาธรรมชาติของมันไม่เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น เราบังคับทุกอย่างให้เป็นอย่างใจเราไม่ได้ แต่เราสามารถฝึกใจ ให้วางใจเท่าทันธรรมชาติ ตัดสินใจเลือกการกระทำแต่ละขณะ ด้วยความรู้สึกตัว ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์
(คัดลอกจาก หน้า 203 หนังสือ เข็มทิศชีวิต โดย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 51 มีนาคม 2551 จำนวนพิมพ์ทั้งสิ้น 460,000 เล่ม)

คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง เขียนหนังสือมี Website ผมติดตามอ่าน เข็มทิศชีวิต มาตั้งแต่ปี 2551 เล่มแรก และต่อมาเมื่อพบหนังสือของเธอ ผมก็จะแสวงหามาอ่าน เข็มทิศชีวิตเล่มแรก ให้คำนิยามว่า แผนที่ดูจิต บริหารชีวิต สู่อิสระทางการเงินและจิตใจ เข็มทิศชีวิต 2 เป็นตอนกฎแห่งเข็มทิศ พูดถึง ความสุข ความสำเร็จและความรัก คุณต้องรู้ว่าอะไรกำลังบงการอยู่เบื้องหลังสิ่งต่างๆ แล้วมีความเห็นที่ถูกต้องต่อสิ่งนั้นแล้วจึงจะเกิดการกระทำที่ถูกต้อง
ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อเปิดเผยความจริงของโลก ความจริงในใจเราเอง...
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีเหตุจากจิต เป็นไปเปลี่ยนแปลงตามการเปลี่ยนแปลงในจิต ภาวะชีวิตที่สมบูรณ์เป็นสุข มั่นคง เป็ฯอิสระจากสิ่งแวดล้อมภายนอกมีอยู่ในเราทุกคนอยู่แล้ว ...
...เราทุกคนมีทุกอย่างเพียงพอ คู่ควรกับชีวิตที่ดี มีความสุข ความสำเร็จ มีใจที่มั่นคง เป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง
(บางส่วนจาก หน้า 230-231 หนังสือ เข็มทิศชีวิต 2 โดย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 ธันวาคม 2551 จำนวนพิมพ์ทั้งสิ้น 120,000 เล่ม)
ในปี 2552 เดือน ธันวาคม เธอออกหนังสือ เข็มทิศชีวิต 3 กฎแห่งความสุข ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่อส่งชีวิตเราไปอยู่ในจุดที่ดีที่สุดเสมอ เพียงเรารู้วิธี (พิมพ์ครั้งแรก 150,000 เล่ม)
วงจรชีวิต 
ใช้เข็มทิศ 
รู้ถูก     รู้ทันว่าอะไรกำลังบงการเราอยู่
เห็นถูก เข้าใจชีวิต ตั้งเป้าหมายที่ดีกับชีวิตจริงๆ (ส่งที่คนทั่วไปอยากได้ อาจไม่ใช่สิ่งที่ชีวิต  ต้องการ)
ทำถูก  ทำสิ่งที่ตรงตามเป้าหมาย (สิ่งที่ทำแล้วไม่ได้ผล หยุด อย่าทำ)
(คัดลอกจาก หน้า 268 หนังสือ เข็มทิศชีวิต 3 โดย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 ธันวาคม 2552 จำนวนพิมพ์ทั้งสิ้น 150,000 เล่ม)
เมื่อตอนผมย้ายไป ทำงานที่ นนทบุรี คุณฐิตินาถ ได้ก้าวหน้าไปในการค้นหาชีวิต และการทำให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้น กรกฎาคม 2554 เธอออกหนังสือ เข็มทิศชีวิตจิตใต้สำนึก  สิ่งที่เราอาจไม่รู้ว่าเราไม่รู้ สิ่งที่เราชื่อในจิตใต้สำนึกกำหนดชีวิตของเรา เล่มนี้มี DVD แถมให้ด้วยเป็นเรื่องของครูอ้อย และกิจกรรมที่ทำ ตอนนี้ เธอมี บริษัท เข็มทิศ เอ็นแอลพี จำกัด มีหลักสูตร เข็มทิศจิตใต้สำนึก ซึ่งสร้างชีวิตใหม่ผู้คนมากมาย
ลองไปดูใน Youtube ได้นะครับ
ตอนนี้เธอออกหนังสือ เข็มทิศชีวิต 5 มั่งคั่ง ผมไม่ได้หามาอ่าน อาจเพราะไม่แสวงหาความมั่งคั่งแล้ว

เราจะแสวงหาอันใด ไม่ควรแสวงหานอกกายของเรานี้เพราะกายนี้เป็นที่สถิตของใจ หากใจล่องลอยไป กายไม่อาจติดตามให้ใจกลับมาได้ ใจต้องกลับเอง

ผมเชื่อว่าผู้แสวงหาย่อมพบเจอ เจอสิ่งที่ตนแสวงหานั้น
ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอะไรบงการเราก็ได้ ไม่ต้องย้อนกลับไปก็ได้ ทำปัจจุบัน ให้ตรงตามจริง ยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างไม่มีเงื่อนไข เลือกสนองตอบอย่างตั้งใจ ไม่เบียดเบียน เป็นคนธรรมดาสามัญไม่ต้องมีชีวิตโลดโผน

ทดสอบดูว่าเรามั่นคงไหมด้วย เมื่อสิ่งที่มากระทบไม่เป็นที่ปรารถนา เรามั่นคงหรือเสียใจ เมื่อสิ่งที่มากระทบเป็นที่ปรารถนา เรายินดีหรือเฉยๆ

การสร้างพลังในตนเองนั้นยังมีอีกหลายท่านที่ทำกิจกรรมเหล่านี้
โค้ช สิริลักษณ์ ตันสิริ
/

ลองไปแวะเพื่อศึกษาดูนะครับ
นี่อีกคนครับที่จุดประกายชีวิตได้
 บัณฑิต อึ้งรังษี

คนที่ประสพผลสำเร็จเหล่านี้มีไม่มากนะครับ แต่คนธรรมดามีเพียบ
ลองดูคนนี้ก็ได้นะครับ ผมติดตามมาตั้งแต่ยังไม่บวช ตอนนี้บวชยังไม่สึกครับ
ท่านก็มีอบรมธรรมมากมายครับ และหาดูและฟัง ทาง Youtube ได้เยอะแยะครับ

ดังนั้นหากใจเรามั่นคงไม่ไหวหวั่น เรียกว่าศรัทธามั่นคงเห็นตรงในความเป็นจริง เพียรพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะละสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับชีวิต รักษาสิ่งที่เป็นประโยชนกับชีวิตที่มีแล้ว แสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับชีวิตที่ยังไม่มี ระวังสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ไม่ให้เข้ามาในชีวิต ระลึกรู้ถึงสิ่งต่างๆที่เข้ามา พิจารณาแยกแยะให้เห็นว่าสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี สิ่งที่มีนั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วแค่ตั้งอยู่เดี๋ยวก็ดับไป ยึดถือไว้ไม่ได้ พากเพียรบ่มสอนตนเอง ความยินดีในความเห็นนั้นย่อมเกิดขึ้น แล้วเราก็ตั้งอยู่ในความสงบสบายมีสุขเป็นฐานที่อยู่แห่งใจ ยามนั้นความเป็นหนึ่งเดียวในธรรมดานั้นย่อมตั้งอยู่เพียงอย่างเดียว ความตั้งไว้ไม่หวั่นไหวนั้นย่อมสร้างปัจจุบันที่เป็นสุขแล้ว ด้วยความไม่เอนเอียงเป็นกลางจึงส่งปิติสุขมาให้นับอนันต์

ด้วยจิตนอบน้อมต่อสรรพสิ่ง ความจริงจึงเกื้อกูล ความสงบเป็นสิ่งประจำใจ ไม่หวั่นไหวขึ้นลง

                     นตฺถิ  ราคสโน  อคฺคิ         นตฺถิ  โทสสโม  กลิ
                     นตฺถิ  ขนฺธาทิสา  ทุกฺขา     นตฺถิ  สนฺติปรํ  สุขํ.

                    " ไฟเสมอด้วยราคะ ย่อมไม่มี, โทษเสมอด้วย
                     โทสะ ย่อมไม่มี, ทุกข์ทั้งหลายเสมอด้วยขันธ์
                     ย่อมไม่มี,    สุขอื่นจากความสงบ   ย่อมไม่มี."
ที่มา: พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓
หากไม่ไปอบรมลองวิธีนี้นะครับ  เพื่อความสุขจงฝึกตน  เป็นอีกวิธีที่ฝึกตนได้นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความคิด

เราคิดอย่างไร
เราทุกคนแทบจะไม่ว่างจากความคิดเลย ไม่ว่ายามหลับ หรือยามตื่น
น่าประหลาดใจนะ ว่าความคิดมาจากไหน เราเกิดมาพร้อมกับประจุความคิดใช่หรือไม่ แล้วความคิดอยู่ที่ไหนในส่วนไหนของเรา
... "วิญญาณนั้นเมื่อไปในตัวมนุษย์แล้วก็มีสำนักอยู่ในมันสมอง แลพิจารณากายภายนอกจากสำนักนั้น"...
(คำรับสั่ง พระวิกรมาทิตย์ จากหนังสือ  นิทานเวตาล -- กรุงเทพ : บันทึกสยาม  2543 หน้า 221)
แล้วความคิดเป็นไปตามอัตโนมัติ หรือเป็นไปตามที่เราฝึกฝนทำมันขึ้นมา

เราเกิดมาเราจำความได้ตั้งแต่เมื่อใด ความตอนเด็กๆ เราจำได้เองหรือจำจากที่แม่ พ่อ ญาติ พี่น้อง เล่าให้ฟัง ความจำเหล่านั้นสร้างความยินดีหรือความเจ็บปวด แล้วเรายึดติดกับความยินดีหรือความเจ็บปวดนั้น เมื่อเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมมาถึงอีกครั้งหนึ่งเราเรียกความจำเหล่านั้นมาใช้หรือไม่ การยินดีทำให้เราผลิตซ้ำเหตุการณ์น้้น และความเจ็บปวดทำให้เราป้องกันและปิดกั้น อย่างนั้นหรือไม่ เราคิดและตัดสินใจทำอย่างนั้นได้อย่างไร ทำไมเราคิดอย่างนั้น

เมื่อเราดำรงชีวิตอยู่ในโลก อยู่ในครอบครัว อยู่ในโรงเรียน อยู่ในที่ทำงาน อยู่ในสังคม การคิดของเราถูกสั่งสมมาจากสัมผัสต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้ ก่อตัวเป็นวิธีคิดของเรา วิธีคิดที่เป็นแบบเรา ไม่เหมือนใครในโลก และใครในโลกนี้ไม่ได้มีองค์ประกอบอย่างเราก็คิดต่างกัน ทำให้การตัดสินใจ และการกระทำของคนจึงไม่เหมือนกัน

ในสังคมไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว โรงเรียน ที่ทำงาน สังคมอื่นๆ เราต้องคิดร่วมกัน ทำร่วมกัน จึงดำรงอยู่ได้ในโลกที่เป็นจริงอย่างไม่ขัดแย้ง กรอบ ระบบ มุมมอง ถูกสร้างสรรค์วิธีการขึ้นมามากมาย แล้วด้วยเหตุผลต่างๆ นานา เราจึงมักเห็นสิ่งที่ผ่านการผลิตซ้ำของทฤษฎี กฏเกณฑ์ ได้รับการยกย่องมากกว่า ประสพการณ์ จินตนาการ และความกล้า เราเรียกวิธีที่ผ่านการผลิตซ้ำนี้ว่าวิธีทางวิทยาศาสตร์ หรือความคิดอย่างเป็นระบบ หรือ ความคิดสร้างสรรค์ หรืออะไรต่างๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตามมันเป็นความคิดโดยแท้

ความคิดสร้างสรรค์ ของคนในอดีตนำพาประวัติของมนุษยชาติมาจนมีอะไรมากมายในทุกวันนี้ แต่ความคิดที่มาจากฐานรากของคนในแต่ละถิ่นก็ต่างกัน เราสร้างสรรค์กันคนละแบบ ดังนั้นไม่ว่าจะนิยามใดศึกษาแบบใดก็ต่างกันไปบนสมมุติฐานของแต่ละการศึกษานั้น  ความคิดสร้างสรรค์บางอย่างก็สร้างผลกระทบอย่างมากต่อสังคมโลกนี้ จากสังคมเกษตรกรรม ผ่านอุตสาหกรรม มายังเทคโนโลยีสื่อสาร และมีคนบอกว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคสังคมอุดมปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษยชาติไม่เคยหยุดนิ่งสร้างสิ่งรับใช้เราตลอดมา แต่เราก็คิดมันจากวิธีที่ต่างกัน
แนวคิดต่อคำว่า "ความคิดสร้างสรรค์" ของอังกฤษ (และชาติตะวันตก) กับของจีน (และชาติตะวันออก) ต่างกันตรงที่โลกตะวันตกมักให้คุณค่ากับอิสรภาพและการแสดงออกทางความคิดของ ปัจเจกชน (เห็นได้จากปรัชญายุคกรีกเรื่อยมาจนถึง Existentialism ของ Jean-Paul Sartre) ขณะที่โลกตะวันออก (ซึ่งมีพื้นฐานสังคมแบบเกษตรกรรมมักให้คุณค่ากับความสามัคคีและการพึ่งพา อาศัย เน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ)
 | อ้างอิงจาก จีนรู้ทัน ลอกฝรั่งทั้งดุ้นไม่เวิร์ค : เน้นพัฒนา “ความคิดสร้างสรรค์แบบกลุ่ม” (Collective Creativity) ประยุกต์เป็นยุทธศาสตร์สร้างเศรษฐกิจชาติ http://www.tcdcconnect.com/content/detail.php?ID=3702&sphrase_id=169418|

ประดิษฐกรรมเกี่ยวกับความคิดมีมากมายหลายแบบสิ่งต่างๆ ที่เราใช้อยู่เป็นประดิษฐกรรมเกี่ยวกับความคิดทั้งสิ้น ภาษา อักษร เครื่องมือ เครื่องใช้อำนวยความสะดวกต่างๆ ฯลฯ

ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดเป็นระบบ คิดแบบวิทยาศาสตร์ มีผู้คิดค้นให้เราฝึกฝนมากมาย แล้วจริงๆ มันมาจากการฝึกฝนหรือเป็นอัตโนมัติ พากเพียรหรือผุดบังเกิด พรแสวงหรือพรสวรค์ เวลาเราคิดร่วมกัน เราคิดได้อย่างไร

คนตะวันออกและคนตะวันตกคิดแตกต่างกัน คนตะวันออกในแต่ละที่ก็คิดแตกต่างกัน คนในที่เดียวกันคนละวัยก็คิดแตกต่างกัน คนวัยเดียวกันคนละเพศ คนละฐานะ คนละอาชีพ คนละสังคม ก็คิดแตกต่างกันดูเหมือนแม้มีวิธีเดียวกัน ศึกษาเล่าเรียนมาพร้อมกัน เวลาคิดร่วมกันก็ยังมีความแตกต่างกัน

แม้แต่ครอบครัวที่มีชีวิตอยู่ร่วมกัน ยังคิดไม่เหมือนกัน การคิดร่วมกันไม่ได้เป็นระบบหรือเป็นวิทยาศาสตร์ในชีวิตจริง เท่าที่นักคิดทั้งหลายบัญญัติขึ้น ยังคงเป็นไปตามใครตามมัน แบบอย่างของใครของมัน

เมื่อเรามาทำงานร่วมกัน งานในแต่ละยุคสมัย แต่ละช่วงเวลาก็เปลี่ยนไป งานผันแปรตามเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้น ขณะเดียวกัน ความรักในการทำงานลงมือลงแรงลงความคิดในงานก็เปลี่ยนไปด้วย องค์กรที่ทันสมัยวางระบบต่างๆ ไว้เพียบพร้อมคนที่เข้ามาทำงานยุคอุตสาหกรรมแรกเริ่มแทบไม่ได้มีส่วนร่วมในความคิดแต่ใช้แรงงานในการทำเท่านั้นเมื่อระบบ เครื่องจักรเริ่มเสื่อม เทคโนโลยีก้าวไปเร็วมาก องค์กรปรับไม่ทัน หันรีหันขวางไปมาทางที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้ได้เร็วก็ต้องพึ่งคนที่รู้จักงานที่ทำและมีความคิดปรับปรุงงานของเขาให้มีคุณภาพ เขาทำงานได้สบายขึ้น คนทำงานจึงมีความหมายขึ้นมากในการนำเข้าเทคโนโลยีที่รวดเร็ว จากเดิมประสพการณ์ จินตนาการ และความกล้าที่ได้นำมาใช้ในการทำงานจึงต้องพัฒนามาเป็นการคิดอย่างเป็นระบบ เพื่อการปรับปรุงงาน

ความคิดอย่างเป็นระบบของการปรับปรุงงาน มีหลายค่ายหลายสำนัก หลายตัววัด หลายแนวทางแต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไรคนที่ทำงานคิดอย่างไร หากคนทำงานคิดจะปรับปรุงแล้วคนทำงานน้้นจะได้หาหนทางเอง และไม่เกินความสามารถในการค้นคว้า


มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา
มโนเสฎฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนน
ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมเนฺวติ
ฉายาว อนปายินี ฯ2ฯ
ใจเป็นผู้นำสรรพสิ่ง
ใจเป็นใหญ่(กว่าสรรพสิ่ง)
ถ้าพูดหรือทำสิ่งใดด้วยใจบริสุทธิ์
ความสุขย่อมติดตามเขา
เหมือนเงาติดตามตน
Mind forerunr all mental conditions,
Mind is chief,mind-made are they;
If one speaks or acts with a pure mind,
Then happiness follows him
Even as the shadow that never leaves

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ครบ 61 ปี อยู่มาแล้ว 22280 วัน

 วันเกิดคือ วันที่ แม่เจ็บปวด
แม่ร้าวรวด เรือนกาย หาใดเหมือน
เป็นความจริง สิ่งดีงาม ตามย้ำเตือน
ไม่แชเชือน ทำดี บูชาพระคุณ


http://toodtooster.blogspot.com/2013/05/61-22280.html

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ระลึกความหลัง ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๑๗

๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๑๗
วันที่ไปเข้ากรมกอง เป็นทหารเกณฑ์ ทหารอากาศผลัด ๑ ร้อยพลพยาบาล อยู่ที่กองทัพอากาศดอนเมือง กรุงเทพมหานคร
ชีวิตทหารเกณฑ์ไม่ได้คิดอะไรมากตอนนั้นเบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๒ บาท ออกจากงานที่บริษัทกรุงเทพเอ็นจิเนียริ่งจำกัดแล้วไปประจำการฝึกทหารร้อยพลพยาบาล เป์นที่ต้องการของหลายคนเพราะฝึกเสร็จก็เข้าเวรอย่างเดียว ในขณะที่ทหารราบอากาศโยธินฝึกหนัก ฝึกอาวุธที่ทันสมัย(ในขณะนั้น)หลายชนิด แต่ร้อยพลพยาบาลฝึกปึน ปลยบ. ๘๘ ดิดดาบปลายปืนแล้วหนัก ๕ กิโลกรัมกว่า แบกปืนวิ่งทุกเช้า ร้องเพลง พอ ออ เอย พอ ออ เอ๊ย ... ทุกเช้า ฝึกสามเดือนแล้วไปฝึกภาคสนามที่ฐานทัพเรือสัตหีบที่แสมสาร กลับมาเข้าเวรที่โรงพยาบาลภูมิพล เดินข้ามถนนจากกองร้อยไปก็ถึงแล้ว
ตอนเข้าเวรมีเรื่องมอร์ฟีนของโรงพยาบาลหาย พวกทหารที่เข้าเวรถูกจับแก้ผ้าแล้วให้พยาบาลตรวจหารอยเข็มว่าใครเป็นผู้โขมยไป แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดจากพวกพลทหารที่เข้าเวรเลย
ช่วงปลายๆ ของการเป็นทหารได้จ้างเพื่อนเข้าเวรแทน เพื่อไปหางานทำก่อนปลดทหารแต่ก็หาไม่ได้
เป็นทหารเกณฑ์อยู่ ๖ เดือนก็ปลดประจำการ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๗

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2556

เพื่อนแท้รออยู่


 เล่มที่แจกไปแล้ว
1-2-3-4-6-21
โปรดดูรายละเอียดต่อได้ครับ

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556

โครงการแจกเพื่อนแท้ เล่มที่ 3, 4, 5 และ 6

                                     หนังสือคือมิตรแท้           ของฉัน
                              หลับตื่นมีแต่มัน                     อยู่ใกล้
                              สุขทุกข์สารพัน                      มันให้
                              สบายจิตใจไซร์                     เมื่อได้อ่านมัน

(ทิพย์ พัชน์ศรี)
ก่อนสุดสัปดาห์แจก 4 เล่มรวด ยังเป็นประเภทนวนิยายครับ 

เล่มที่ 3
หนังสือ    หักเหลี่ยมเจ้าพ่อ ผู้แต่ง เจฟฟรีย์ อาร์เชอร์ ผู้แปล/เรียบเรียง วีแม่น อิทธิหิรัญวงศ์ เรื่องแปล ชนิดปก    อ่อน ISBN     974 526 008 4 จำนวนหน้า 444 พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ย. 2520 สำนักพิมพ์รวมสาสน์ ขนาด11 x 18 ซม. น้ำหนัก 260 กรัม สภาพเก่า ครบหน้า ราคาขายตอนนั้น 37 บาท



... ฮาร์วีย์ แม็คคาล์ฟ เจ้าพ่อวงการน้ำมันและหุน ใช้เวลาสร้างตัวเองมากว่า 25 ปี ด้วยเล่ห์กลสารพัด ทางการตำรวจทั่วโลกพยายามใช้กฏหมายเล่นงานเขาให้อยู่มือ แต่ฮาร์วีย์ไม่เคยพลาดที่จะทิ้งหลักฐานใดๆ ให้ผูกมัดต่อเขาได้...
...4 หนุ่มต่างอาชีพผู้มีอนาคตไกลเป็นเหยื่อติดกับกลโกงธุรกิจของเจ้าพ่อจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ด้วยความแค้น ทั้งสี่จึงรวมหัวกันวางแผนซ้อนเพื่อหลอกเอาเงินคืนมาให้ได้ด้วยวิธีแยบยลสะใจ และใช้ความรู้ในวิชาชีพหลักของแต่ละคนมารวมกัน
"ข้าขอสัญญาว่าจะต้องหลอกเอาเงินที่มันโกงไปกลับคืนมาให้ได้พร้อมดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันแรก ไม่ให้ขาดไม่ให้เกินแม้แต่เก๊เดียว..." 



เล่มที่ 4


หนังสือ    เดอะ ซิตาเดล ผู้แต่ง    A.J. Croni 
ผู้แปล/เรียบเรียง สาธาร เรื่องแปล ชนิดปกอ่อน จำนวน 306 หน้า
พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ย. 2520 สำนักพิมพ์ประพันธ์สาสน์ 

ขนาด11 x 18 ซม. น้ำหนัก 160 กรัม 
สภาพ เก่า ครบหน้า ราคาขายตอนน้้น 15 บาท

เรื่องหมอๆ 
แอนดรูพยายามเป็นหมอที่ดี แต่ เขาถูกกล่าวหาด้วยหมอทั้งหลายที่หวังจะไม่ให้เขาเป็นหมออีกต่อไป เขาจะผ่านไปได้หรือไม่
เป็นเรื่องหมอๆ จริงๆ 
อ่านแล้วจะเข้าใจและไม่เข้าใจหมอ 555








เล่มที่ 5
หนังสือ บ้านผี ผู้แต่ง เจย์ แอนสัน ผู้แปล/เรียบเรียง พรจิต อัศวกุล เรื่องแปล ชนิดปกอ่อน จำนวน 309 หน้า
สำนักพิมพ์บรรณกิจ ขนาด11 x 18 ซม. น้ำหนัก 190 กรัม สภาพเก่า มีหน้าเกิน ราคาขายตอนนั้น 21 บาท



เรื่องเกิดในปี 1975 ( พ.ศ.2518) ครอบครัวลูทธ์ ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่งซึ่งเขาต้องเผชิญอะไรที่น่ากลัวตลอด 28 วันที่ย้ายเข้าไปอยู่ 
ล้วครอบครัวบลูทธ์ จะอยู่ได้หรือไม่









เล่มที่ 6
 หนังสือ ลูบหนวดปัวโร ผู้แต่ง อากาธา คริสตี้ ผู้แปล/เรียบเรียง ปรีชา- ตวงตา เรื่องแปล ชนิดปกอ่อน จำนวน 336 หน้า ขนาด11 x 18 ซม. น้ำหนัก 180 กรัม สภาพ เก่า ดี ครบหน้า ราคาขายตอนนั้น 24 บาท


 ก็เรื่องนักสืบ สืบสวนที่ลือสั่นนะแหละครับ











โปรดแจ้งความจำนงมายัง rarearntoo@gmail.com เรื่อง Subject : ขอรับหนังสือเล่มที่ ...(ระบุเล่มที่ต้องการ) โปรดแจ้งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ที่จะให้จัดส่งหนังสือ

โปรดอ่านเจตนาของผมที่จะแจกเพื่อนแท้ ที่ หนังสือคือมิตรแท้

อาทิตย์หน้าจะแจกหนังสือ ประเภท How to. นะครับ โปรดติดตาม  

วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

Student of Life: โครงการแจกเพื่อนแท้ เล่มที่ 2 โปรดติดตามโดยพลัน

Student of Life: โครงการแจกเพื่อนแท้ เล่มที่ 2: ...หนังสือคือมิตรแท้  ของฉัน หลับตื่นมีแต่มัน       อยู่ใกล้ สุขทุกข์สารพัน       มันให้ สบายจิตใจไซร์      เมื่อได...

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

คนกับต้นไม้

พระธาตุลำปางหลวง อ.เกาะคา จ.ลำปาง
คนก็คนอย่างเราๆ ท่านๆ นี่เหละ
ลองหันไปรอบๆ ซิ เห็นอะไรบ้าง มีต้นไม้ในสายตาไหม หรือเห็นแต่ปัญหา
ดูต้นไม้ที่พื้นดินซิ พืชคลุมดินมีเยอะมาก หญ้าเป็นพื้นฐาน บางคนปลูกหญ้าที่ต้องดูแล บางคนปลูกหญ้าแล้วไม่ดูแล
นั่นต้นไม้พุ่มเตี้ย นั่นต้นไม้พุ่มกลาง นั่นต้นไม้ใหญ่ นั่นต้นไม้ยักษ์
นั่นไม้เมืองร้อน นั่นไม้เมืองหนาว นั่นไม้ที่สูง นั่นไม้ที่ราบ นั่นไม้ขั้วโลก นั่นไม้เส้นศูนย์สูตร
นั่นไม้เลื้อย นั่นไม้เถา(มันต่างกันไง) นั่นไม้อิง นั่นไม้ล้มลุก นั่นไม้ยืนต้น โฺฮ สาระพัดต้นไม้
ปกติ ต้นไม้เกิดอย่างไรก็จะเป็นอย่างงั้นไปจนตาย
หากเปรียบกับคน คงเปรียบไม่ได้ คนเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนตาย 555
ตอนเข้าทำงานเป็นไม้ล้มลุก ผ่านเวลาไปสักปีสองปี เป็นไม้เลื้อย หรือไม้อิง ผ่านไป ห้าปีเป็นไม้พุ่มเตี้ย ผ่านไป สิบถึงสิบห้าปี เป็นไม้พุ่มกลาง ผ่านไปอีกสักห้าปี ตอนนี้มีทางเลือก(บางทีไม่ได้เลือก บางทีเป็นลิขิตฟ็า บางที ... ช่างมันเฮอะ) เป็นไม้พุ่มใหญ่ หรือเป็นไม้ประดับ ตอนต่อไปเป็นดั่งนี้
เป็นไม้พุ่มใหย่แล้วพัฒนาเป็นต้นโพธิ์ต้นไทร เป็น ร่มเงา เป็น ตำนาน เป็น ที่กล่าวขาน
อีกทาง พัฒนาเป็น ไม้ประดับ ต่อมาเป็นไม้ตายซาก และที่พัฒนาไปต่อ คือ ไม้ใกล้ฝั่ง

ดูองค์พระธาตุซิ งดงาม ไม่มีต้นไม้สักต้น ยังงดงาม