วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ความดีและความชั่ว : เรียนรู้ที่จะมีชีวิตด้วยบัญญัติของตัวเอง

(บางส่วนจากหน้าที่ ๒๔๕ ถึง ๒๕๐ หนังสือ "พลิกมุมใหม่ เข้าใจชีวิต" ประพันธ์โดย OSHO แปลโดยนารา พัทนวิโรจน์ เรียบเรียงโดยภัทริณี เจริญจินดา สำนักพิมพ์ ฟรีมายด์ พิมพ์ครั้งที่ ๑ - ตุลาคม ๒๕๕๖)

ทุกศาสนาได้บัญญัติข้อปฏิบัติทางศาสนาขึ้นมาเอง ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติแปลกปละหลาดและไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งมาจากความกลัวและความโลภ แต่ศาสนาเหล่านั้นกลับทำให้มีมนุษยชาติผู้น่าสงสาร ซึ่งท่านจะพบเห็นได้ทั่วทุกมุมโลก
แม้นแต่คนที่ร่ำรวยที่สุดก็ยังน่าสงสารเพราะเขาไม่มีอิสระที่จะทำตามจิตสำนึกของเขา เขาต้องทำตามข้อปฏิบัติที่มาจากใครบางคน และไม่มีใครรู้ว่าคนคนนั้นเป็นแค่คนโกหกและฉ้อฉล หรือว่าเป็นแค่นักกวีและคนช่้างฝัน มันไม่มีหลักฐาน เพราะมีหลายคนกล่าวอ้างว่าพวกเขาเป็นพระเจ้าจุติลงมาเกิด เป็นผู้นำสารมาจากพระเจ้า และเป็นผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาล้วนนำสารที่แตกต่างกันมา หากไม่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเพี้ยน คนเหล่านี้ก็โกหกและเป็นไปได้มากที่พวกเขาจะโกหก
มันทำให้ที่รู้สึกถึงอัตตาตัวตนอันยิ่งใหญ่ หากท่านเป็นผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้าหรือผู้นำสารมาจากพระเจ้า ท่านจะเป็นคนสำคัญที่ไม่ใช่แค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง และท่านครอบงำคนอื่นได้ นี่คือการเมืองรูปแบบต่างๆ ที่ใดมีการปกครองหรือการครอบงำด้วยอำนาจ ที่นั่นมีการเมือง
นักการเมืองมีอิทธิพลผ่านกำลังอำนาจทั้งกองทัพ อาวุธยุทธภัณฑ์ และอาวุธปรมาณู ส่วนผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า ผู้นำสารจากพระเจ้า และผู้มาช่วยไถ่บาปกำลังครอบงำท่านทางด้านจิตจิญญาณ ซึ่งอันตรายยิ่งกว่าเพราะพวกเขาเป็นยิ่งกว่านักการเมือง พวกเขากำลังครอบงำชีวิตของท่านไม่เพียงแต่ภายนอก แต่รวมถึงภายในด้วย พวกเขาได้เข้าควบคุมภายในตัวท่าน พวกเขากลายเป็นผู้กำหนดศีลธรรมและมโนธรรมให้ท่าน พวกเขาได้เข้าครอบครองจิตวิญญาณของท่าน พวกเขาได้ครอบงำท่านจากภายใน โดยการบอกว่าสิ่งนี้ถูกสิ่งนี้ผิด ท่านต้องทำตามที่พวกเขาบอก มิฉะนั้นท่านจะรู้สึกว่าทำผิด และรู้สึกผิดเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดทางจิตวิญญาณ หากท่านทำตามพวกเขา ท่านจะเริ่มรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ หากที่ทำตามธรรมชาติของท่าน ท่านจะไม่ทำตามผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้าและผู้มาช่วยไถ่บาป ท่านจะเริ่มต่อต้านมโนธรรมที่พวกเข้าได้ปลูกฝังในตัวท่าน
ทุกศาสนาได้สร้างสถานการณ์ที่ทำให้เราไม่อาจจะสบายใจไรกังวลได้ เราเบิกบานกับชีวิตไม่ได้ เราดำรงอยุ่ในความสมบูรณ์ของชีวิตไม่ได้ ดังนั้นข้าพเจ้าขอแนะนำว่ามันจะเป็นการดีกว่า ที่จะให้มนุษยชาติเป็นอิสระจากความเชื่องมงายต่างๆ ที่ครอบงำมนุษย์อย่างเลวร้าย และบิดเบือนธรรมชาติของมนุษย์อย่างใหญ่หลวง ท่านพบเห็นมนุษยชาติที่เป็นผลจากสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อท่านกล่าวว่าเราจะรู้จักต้นไม้สักต้น ก็ให้ดูที่ผลของมัน หากนั้นเป็นความจริง เรื่องนี้ก็เป็นความจริง ดังนั้นการกระทำที่ผ่านมาของผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า ผู้มาช่วยไถ่บาป พระเจ้า และซาตาน ก็ควรจะถูกตัดสินจากมนุษยชาติที่ท่านพบในวันนี้
มนุษยชาติที่เสียสติเหลานี้ไม่มีความสุข พวกเขาทุกข์ยาก เต็มไปด้วยความโกรธแค้น ความเดือดดาล และความเกียดชัง หากนี่เป็นผลจากศาสนาของท่าน จากผู้นำของท่าน ไม่ว่าทางศาสนาหรือทางการเมือง มันจะเป็นการดีกว่าที่จะให้ทั้งพระเจ้าและซาตานนั้นจากไป เมื่อพระเจ้าและซาตานได้จากไปแล้ว ผู้นำทางการเมื่องและผู้นำทางศาสนาก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนอีกต่อไป และพวกเขาก็จะจากไปในไม่ช้า
ข้าพเจ้าต้องการให้ผู้คนเป็นอิสระทั้งในเรื่องการเมืองและศาสนา แต่ละคนควรจะมีอิสระในทุกด้านที่จะทำสิ่งต่างๆ จากเสียงภายในของเขาเองและจากจิตสำนึกของเขาเอง แล้วโลกก็จะสวยงาม และนี่เป็นการปฏิวัติอย่างแท้จริง

คำถาม ท่านกล่าวว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไม่ใช่สิ่งจำเป็น หากเข่นนั้นจะพัฒนาการนำทางที่มาจากข้างในได้อย่างไร เพื่อให้ช่วยตัดสินใจในเรื่องชีวิตได้ถูกต้อง

ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหรือมโนธรรมเหมือนกับภาพถ่ายบนจาน ในขณะที่ความรู้สึกตัวหรือจิตสำนึกเหมือนกับกระจก ทั้งสองอย่างล้วนสะท้อนภาพความเป็นจริง แต่กระจกไม่เคยยึดติดกับภาพสะท้อนใด มันยังคงว่างเปล่า ดังนั้นมันยังคงสะท้อนภาพใหม่ๆ ได้อีก หากเป็นเวลาเช้ามันก็สะท้อนภาพเวลาเช้า หากเป็นเวลาเย็น มันก็สะท้อนภาพเวลาเย็น ภาพถ่ายบนจานเป็นภาพสะท้อนความเป็นจริงที่ตายตัว หากท่านถ่ายภาพเข้าไว้เวลาเช้า มันก็เป็นภาพเวลาเวลาเช้าตลอดเวลา ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นภาพเวลากลางคืนไปได้
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนามโนธรรม สิ่งที่ต้องทำคือการละทิ้งมโนธรรมและพัฒนาจิตสำนึก ละทิ้งทุกอย่างที่ได้รับการสั่งสอนมาจากผูู้อื่น และเริ่มมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง และค้นคว้า ค้นหา แน่นอนในระยะแรกอาจจะลำบาก เพราะท่านไม่มีแผนที่ แผนที่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ท่านจะต้องเคลื่อนไปโดยปราศจากแผนที่ ท่านจะต้องเคลื่อนไปในที่ที่ไม่คุ้นเคยโดยไม่มีคำแนะนำ คนขี้ขลาดไปไหนไม่ได้หากไม่มีการชี้นำหรือไม่มีแผนที่ และเมื่อท่านเคลื่อนไปพร้อมด้วยแผนที่และคำชี้แนะ ท่านจะไม่ได้เข้าไปในที่แห่งใหม่หรืออาณาจักรแห่งใหม่ ท่านกำลังเดินอยู่ในวงกลม ท่านจะยังคงไปในที่ที่ท่านรู้จักเท่านั้น ท่านจะไม่กระโจนลงไปในสถานที่ที่ท่านยังไม่รู้จัก มีเพียงความกล้าหาญเท่านั้นที่จะละทิ้งมโนธรรมได้
มโนธรรมหมายถึงความรู้ทั้งหมดที่ท่านสะสมไว้ และจิตสำนึกหมายถึงความว่างเปล่าจากสิ่งที่ท่านสะสม เป็นความว่างเปล่าอย่างที่สุด และเคลื่อนเข้าไปในชีวิตด้วยความว่างเปล่า มองเห็นสิ่งต่างๆ ผ่านความว่างเปล่า และทำสิ่งต่างๆ จากความว่างเปล่า แล้วการกระทำของท่านจะเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา และไม่ว่าท่านจะทำอะไร สิ่งนั้นจะถูกต้อง มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าอะไรถูกหรือผิด เพราะอะไรที่ถูกในวันนี้อาจจะผิดในวันรุ่งขึ้นก็ได้ และความรู้ที่ขอยืมมาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
...
ผู้ที่เข้าใจชีวิตรู้อยู่เสมอว่าชีวิตไม่ได้ดำเนินไปตามหลักเหตุผล ชีวิตเป็นเรื่องที่อยู่เหนือหลักเหตุผล ชีวิตนั้นดำเนินไปอย่างไม่มีเหตุผล และโดยพื้นฐานมันคือความไร้เหตุผล มโนธรรมเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่าและไม่เป็นธรรมชาติด้วย มันให้แบบฉบับที่ตายตัว แต่ชีวิตดำเนินไปบนความเปลี่ยนแปลง ชีวิตเป็นสิ่งที่หาความแน่นอนไม่ได้ มันขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา หากท่านไม่มีความรู้สึกตัว ท่านก็จะมีชีวิตอย่างแท้จริงไม่ได้ ชีวิตของท่านจะมีแต่การเรียกร้องและปรากฏการณ์ที่หลอกลวง ท่านจะพลาดการมีชีวิตตลอดเวลา
...
จงมีความรู้สึกตัวและอย่าถามว่าจะพัฒนามโนธรรมได้อย่างไร ตอนนี้เรากำลังพยายามทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เรากำลังทำลายมโนธรรม มโนธรรมของชาวคริสต์ มโนธรรมของชาวฮินดู มโนธรรมของชาวมุสลิม และมโนธรรมของชาวเชน เรากำลังทำลายมโนธรรมทุกชนิด เพราะมโนธรรมมาในทุกรูปแบบและทุกมิติ
ความรู้สึกตัวหรือจิตสำนึกนั้นไม่เป็นทั้งชาวคริสต์ ชาวฮินดู หรือชาวมุสลิม มันเป็นแค่จิตสำนึกเท่านั้น มโนธรรมแบ่งแยกผู้คน แต่จิตสำนึกรวมผู้คนเป็นหนึ่งเดียว
...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น