วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๗

วัดศรีรองเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่มาถึง เปลี่ียนศักราช ใจคนยังคงเหมือนเดิม 

ปีที่ผ่านมาบ้านเมืองวุ่นวาย ผู้คนมีความเห็นแตกต่างกัน เชื่อในเรื่องที่แตกต่างกัน เอาความเชื่อของตนมายึดเป็นหลัก และขัดแย้งกัน ความแตกต่างกัน และขัดแย้งกันไม่แปลกเป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติของผู้คน ชุดความคิดที่แตกต่างกัน เกิดจากศรัทธาความเชื่อ การหล่อหลอมจากสังคม การซึมซับวัฒนธรรม การอยู่ในชนชั้นที่ต่างกัน และอื่นๆ อีกมากมาย
ในประสบการณ์ของแต่ละคน เมื่อผ่านวันเวลา สิ่งต่างจึงหล่อหลอมให้เป็นคน คนที่มีชุดความคิดชุดความเชื่อที่ต่างกัน หากต่างคนต่างอยู่ในที่ทาง ชุดความคิดและความเชือนั้นยังไม่ปะทะกัน
เมื่อชุดความคิดและความเชือถูกกระตุ้น มีการรวมกันของชุดความคิดและความเชือ พลังของการหลอมรวมจึงเกิดขึ้น
เนื่องจากความงาม ความดี ความจริง ของแต่ละคนที่คิดและเชื่อ ต่างกัน เป็นคนละชุดความคิดและความเชือ เมื่อถูกจัดวางในสังคม และต่อสู้กัน การปะทะกันและความต้องการเอาชนะจึงดำเนินไปตามการกระตุ้นนั้น
การปะทะ การต่อสู้ สุดท้ายมีผล ผลที่เลือกได้ แพ้-แพ้ แพ้-ชนะ ชนะ-แพ้ และชนะ-ชนะ 
ถ้าเลือกแพ้-ชนะหรือชนะ-แพ้ อาจนำไปสู่ แพ้-แพ้ได้ 
มีวิธีการมากมายสำหรับการต่อสู้ การกระตุ้นปลุกเร้าด้วยคำพูดก็เป็นวิธีการหนึ่ง และการกระตุ้นปลุกเร้านั้นเป็นไปเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายตน และทำให้ฝ่ายตรงข้ามหมดความชอบธรรม ความชอบธรรมที่ใช้คือ ความเป์นชาติ ความดีงาม ความสุจริต และอื่นๆ ในขณะที่ความไม่ชอบธรรมคือ ไม่รักชาติ เป็นคนเลว เป็นคนโกง และอื่นๆ
เมื่อกระตุ้นปลุกเร้าไป นานเข้า นานเข้า ถ้อยคำเหล่านั้นถูกผลิตซ้ำ วันแล้ววันเล่า จนเหมือนเป็นจริงในจิตจินตนาการมา การคุกคาม การทำร้าย จะตามมา จากถ้อยคำนำไปสู่การทำลายต่อไป มีตัวอย่าง มีประวัติศาสตร์ให้เห็น แต่เราไม่ค่อยศึกษากัน

หวังว่าปีใหม่นี้ เราจะสงบ กลับมามีสติ กลับมาฟังกันและกัน กลับมารักใคร่กัน การทำลายกันและกันนั้นเป็นการทำลายตัวเองในเบื้องต้น ทำลายสังคมในท่ามกลาง และทำลายสิ่งที่เรารักในที่สุด 

หวังว่าปี 2557 นี้ เราจะนำพาจิตใจของเราให้ก้าวไป มีพัฒนาการที่เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์สังคม 
สงบ สันติ

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อิสรภาพ

(จากส่วนหนึ่งของ ปรัชญาชีวิต ของ คาลิล ยิบราน KHALIL GIBRAN แปลโดย ระวี ภาวิไล)

...
    และนักพูดคนหนึ่งกล่าวว่า
    ได้โปรดพูดกับเราถึง อิสรภาพ และท่านตอบว่า

    ที่ประตูเมืองและที่ข้างเตาไฟ
    เราได้เห็นเธอกราบกรานแลบูชาอิสรภาพของตนเอง
    ดูประหนึ่งข้าทาสน้อมตนเฉพาะหน้าทุรราช
    และกล่าวเยินยอแม้ว่าตนจะถูกพิฆาตฆ่า

    ถูกแล้วที่ต้นไม้รอบโบสถ์ และในร่มเงาของป้อมปราการ
    เราได้เห็นเธอที่เป็นอิสระที่สุด
    สวมใส่อิสรภาพของตน ดุจดังขื่อคาและโซ่ตรวน
    และดวงใจเราก็หลั่งเลือดอยู่ภายใน
    เพราะเธอเป็นอิสระได้ทั้งที่
    ความกระหายในอิสรภาพเป็นบังเหียนรั้งเธออยู่
    และเมื่อเธอเลิกกล่าวถึงอิสรภาพว่า
    เป็นจุดหมายปลายทางและความบรรลุผลแล้ว
    เธอย่อมเป็นอิสระแน่แท้
    ทั้งที่วันของเธอยังมีความรับผิดชอบ
    และคืนของเธอยังมีความต้องการและความระทม
    ด้วยแม้เมื่อสิ่งเหล่านี้เกี่ยวรัดชีวิตของเธอไว้
    เธอก็ยังสามารถหลุดลอยขึ้นเหนือมัน
    เปล่าเปลือย และไม่ถูกผูกมัด
    และเธอจะหลุดลอยขึ้นเหนือทิวาและราตรีของเธอได้อย่างไร
    นอกจากจะทำลายโซ่ตรวน ซึ่ง ณ อรุโณทัยแห่งความเข้าใจนั้น
    เธอได้ผูกมัดมันไว้รอบยามเที่ยงของเธอเอง

    ตามสัตย์จริงสิ่งที่เธอเรียกว่าอิสรภาพนี้
    คือโซ่ตรวนแบบนี้ที่แข็งแรงที่สุด
    แม้ว่าข้อต่อของมันจะต้องแสงแดดเป็นประกายจับตาของเธอ
    สิ่งที่เธอจะต้องสละทิ้งไปเพื่อจะบรรลุอิสรภาพนั้น มิใช่สิ่งอื่นใด
    แท้จริงก็คือชิ้นส่วนของอาตมันของเธอนั่นเอง
    ถ้าเธอต้องการลบล้างกฎหมายอันไม่เป็นธรรม
    ก็กฎหมายนั้น แท้จริงเธอได้จารึกไว้ด้วยมือตนบนหน้าผากตนเอง
    เธอไม่อาจลบถูมันหมดได้โดยเผาตำรับกฎหมาย
    หรือล้างหน้าผากตุลาการของเธอ
    แม้ว่าเธอจะราดรดด้วยน้ำทั้งมหาสมุทร

    และแม้เธอจะโค่นบัลลังก์ทุรราช
    ก็จงดูให้แน่ใจเสียก่อนว่า
    บัลลังก์ของเขาภายในเธอถูกทำลายก่อนแล้ว
    เพราะทุรราชจะปกครองอิสรชน และผู้หยิ่งผยองได้อย่างไร
    ถ้าไม่เพื่อข่มขี่อิสรภาพ
    และก่อความอัปยศในความทะนงของเขาเหล่านั้นเอง
    และถ้าเธอสามารถจะเหวี่ยงความหวั่นระวังไปให้พ้น
    ก็ความหวั่นระวังนั้นเอง เธอได้เป็นผู้เลือกเอา
    มิได้มีใครนำมาบังคับแก่เธอ
    และถ้าเธออยากขจัดความหวั่นกลัว
    รากฐานของความกลัวนั้นก็อยู่ในดวงใจของเธอเอง
    มิใช่ในเงื้อมมือของสิ่งที่เธอกลัว


    แท้จริงสรรพสิ่งอันเคลื่อนไหวอยู่ในเธอนั้น
    ดำรงอยู่ในความกอดรัดเพียงกึ่งเดียวเสมอ
    ทั้งสิ่งต้องปรารถนาและสิ่งที่พรั่นพรึง
    สิ่งน่าขยะแขยง และสิ่งต้องอารมณ์
    ทั้งสิ่งที่เธอไล่ไขว่คว้า
    และสิ่งที่เธอต้องการหลบลี้

    สิ่งเหล่านี้เคลื่อนไหวอยู่ภายในเธอ
    ดุจความสว่างและเงามืดอันกอดรัดกันอยู่เป็นคู่
    และในเมื่อเงามืดจากและสูญไป
    ความสว่างอันคงอยู่ก็กลายเป็นเงาของความสว่างใหม่ต่อไป
    เช่นเดียวกันนี้เมื่อพันธนาการแห่งอิสรภาพของเธอสิ้นสูญไป
    มันเองก็กลายเป็นพันธนาการ
    ของอิสรภาพอันยิ่งใหญ่กว่าต่อไป

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ความดีและความชั่ว : เรียนรู้ที่จะมีชีวิตด้วยบัญญัติของตัวเอง

(บางส่วนจากหน้าที่ ๒๔๕ ถึง ๒๕๐ หนังสือ "พลิกมุมใหม่ เข้าใจชีวิต" ประพันธ์โดย OSHO แปลโดยนารา พัทนวิโรจน์ เรียบเรียงโดยภัทริณี เจริญจินดา สำนักพิมพ์ ฟรีมายด์ พิมพ์ครั้งที่ ๑ - ตุลาคม ๒๕๕๖)

ทุกศาสนาได้บัญญัติข้อปฏิบัติทางศาสนาขึ้นมาเอง ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติแปลกปละหลาดและไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งมาจากความกลัวและความโลภ แต่ศาสนาเหล่านั้นกลับทำให้มีมนุษยชาติผู้น่าสงสาร ซึ่งท่านจะพบเห็นได้ทั่วทุกมุมโลก
แม้นแต่คนที่ร่ำรวยที่สุดก็ยังน่าสงสารเพราะเขาไม่มีอิสระที่จะทำตามจิตสำนึกของเขา เขาต้องทำตามข้อปฏิบัติที่มาจากใครบางคน และไม่มีใครรู้ว่าคนคนนั้นเป็นแค่คนโกหกและฉ้อฉล หรือว่าเป็นแค่นักกวีและคนช่้างฝัน มันไม่มีหลักฐาน เพราะมีหลายคนกล่าวอ้างว่าพวกเขาเป็นพระเจ้าจุติลงมาเกิด เป็นผู้นำสารมาจากพระเจ้า และเป็นผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาล้วนนำสารที่แตกต่างกันมา หากไม่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเพี้ยน คนเหล่านี้ก็โกหกและเป็นไปได้มากที่พวกเขาจะโกหก
มันทำให้ที่รู้สึกถึงอัตตาตัวตนอันยิ่งใหญ่ หากท่านเป็นผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้าหรือผู้นำสารมาจากพระเจ้า ท่านจะเป็นคนสำคัญที่ไม่ใช่แค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง และท่านครอบงำคนอื่นได้ นี่คือการเมืองรูปแบบต่างๆ ที่ใดมีการปกครองหรือการครอบงำด้วยอำนาจ ที่นั่นมีการเมือง
นักการเมืองมีอิทธิพลผ่านกำลังอำนาจทั้งกองทัพ อาวุธยุทธภัณฑ์ และอาวุธปรมาณู ส่วนผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า ผู้นำสารจากพระเจ้า และผู้มาช่วยไถ่บาปกำลังครอบงำท่านทางด้านจิตจิญญาณ ซึ่งอันตรายยิ่งกว่าเพราะพวกเขาเป็นยิ่งกว่านักการเมือง พวกเขากำลังครอบงำชีวิตของท่านไม่เพียงแต่ภายนอก แต่รวมถึงภายในด้วย พวกเขาได้เข้าควบคุมภายในตัวท่าน พวกเขากลายเป็นผู้กำหนดศีลธรรมและมโนธรรมให้ท่าน พวกเขาได้เข้าครอบครองจิตวิญญาณของท่าน พวกเขาได้ครอบงำท่านจากภายใน โดยการบอกว่าสิ่งนี้ถูกสิ่งนี้ผิด ท่านต้องทำตามที่พวกเขาบอก มิฉะนั้นท่านจะรู้สึกว่าทำผิด และรู้สึกผิดเป็นโรคที่ร้ายแรงที่สุดทางจิตวิญญาณ หากท่านทำตามพวกเขา ท่านจะเริ่มรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ หากที่ทำตามธรรมชาติของท่าน ท่านจะไม่ทำตามผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้าและผู้มาช่วยไถ่บาป ท่านจะเริ่มต่อต้านมโนธรรมที่พวกเข้าได้ปลูกฝังในตัวท่าน
ทุกศาสนาได้สร้างสถานการณ์ที่ทำให้เราไม่อาจจะสบายใจไรกังวลได้ เราเบิกบานกับชีวิตไม่ได้ เราดำรงอยุ่ในความสมบูรณ์ของชีวิตไม่ได้ ดังนั้นข้าพเจ้าขอแนะนำว่ามันจะเป็นการดีกว่า ที่จะให้มนุษยชาติเป็นอิสระจากความเชื่องมงายต่างๆ ที่ครอบงำมนุษย์อย่างเลวร้าย และบิดเบือนธรรมชาติของมนุษย์อย่างใหญ่หลวง ท่านพบเห็นมนุษยชาติที่เป็นผลจากสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อท่านกล่าวว่าเราจะรู้จักต้นไม้สักต้น ก็ให้ดูที่ผลของมัน หากนั้นเป็นความจริง เรื่องนี้ก็เป็นความจริง ดังนั้นการกระทำที่ผ่านมาของผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า ผู้มาช่วยไถ่บาป พระเจ้า และซาตาน ก็ควรจะถูกตัดสินจากมนุษยชาติที่ท่านพบในวันนี้
มนุษยชาติที่เสียสติเหลานี้ไม่มีความสุข พวกเขาทุกข์ยาก เต็มไปด้วยความโกรธแค้น ความเดือดดาล และความเกียดชัง หากนี่เป็นผลจากศาสนาของท่าน จากผู้นำของท่าน ไม่ว่าทางศาสนาหรือทางการเมือง มันจะเป็นการดีกว่าที่จะให้ทั้งพระเจ้าและซาตานนั้นจากไป เมื่อพระเจ้าและซาตานได้จากไปแล้ว ผู้นำทางการเมื่องและผู้นำทางศาสนาก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนอีกต่อไป และพวกเขาก็จะจากไปในไม่ช้า
ข้าพเจ้าต้องการให้ผู้คนเป็นอิสระทั้งในเรื่องการเมืองและศาสนา แต่ละคนควรจะมีอิสระในทุกด้านที่จะทำสิ่งต่างๆ จากเสียงภายในของเขาเองและจากจิตสำนึกของเขาเอง แล้วโลกก็จะสวยงาม และนี่เป็นการปฏิวัติอย่างแท้จริง

คำถาม ท่านกล่าวว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไม่ใช่สิ่งจำเป็น หากเข่นนั้นจะพัฒนาการนำทางที่มาจากข้างในได้อย่างไร เพื่อให้ช่วยตัดสินใจในเรื่องชีวิตได้ถูกต้อง

ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหรือมโนธรรมเหมือนกับภาพถ่ายบนจาน ในขณะที่ความรู้สึกตัวหรือจิตสำนึกเหมือนกับกระจก ทั้งสองอย่างล้วนสะท้อนภาพความเป็นจริง แต่กระจกไม่เคยยึดติดกับภาพสะท้อนใด มันยังคงว่างเปล่า ดังนั้นมันยังคงสะท้อนภาพใหม่ๆ ได้อีก หากเป็นเวลาเช้ามันก็สะท้อนภาพเวลาเช้า หากเป็นเวลาเย็น มันก็สะท้อนภาพเวลาเย็น ภาพถ่ายบนจานเป็นภาพสะท้อนความเป็นจริงที่ตายตัว หากท่านถ่ายภาพเข้าไว้เวลาเช้า มันก็เป็นภาพเวลาเวลาเช้าตลอดเวลา ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นภาพเวลากลางคืนไปได้
ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนามโนธรรม สิ่งที่ต้องทำคือการละทิ้งมโนธรรมและพัฒนาจิตสำนึก ละทิ้งทุกอย่างที่ได้รับการสั่งสอนมาจากผูู้อื่น และเริ่มมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง และค้นคว้า ค้นหา แน่นอนในระยะแรกอาจจะลำบาก เพราะท่านไม่มีแผนที่ แผนที่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ท่านจะต้องเคลื่อนไปโดยปราศจากแผนที่ ท่านจะต้องเคลื่อนไปในที่ที่ไม่คุ้นเคยโดยไม่มีคำแนะนำ คนขี้ขลาดไปไหนไม่ได้หากไม่มีการชี้นำหรือไม่มีแผนที่ และเมื่อท่านเคลื่อนไปพร้อมด้วยแผนที่และคำชี้แนะ ท่านจะไม่ได้เข้าไปในที่แห่งใหม่หรืออาณาจักรแห่งใหม่ ท่านกำลังเดินอยู่ในวงกลม ท่านจะยังคงไปในที่ที่ท่านรู้จักเท่านั้น ท่านจะไม่กระโจนลงไปในสถานที่ที่ท่านยังไม่รู้จัก มีเพียงความกล้าหาญเท่านั้นที่จะละทิ้งมโนธรรมได้
มโนธรรมหมายถึงความรู้ทั้งหมดที่ท่านสะสมไว้ และจิตสำนึกหมายถึงความว่างเปล่าจากสิ่งที่ท่านสะสม เป็นความว่างเปล่าอย่างที่สุด และเคลื่อนเข้าไปในชีวิตด้วยความว่างเปล่า มองเห็นสิ่งต่างๆ ผ่านความว่างเปล่า และทำสิ่งต่างๆ จากความว่างเปล่า แล้วการกระทำของท่านจะเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา และไม่ว่าท่านจะทำอะไร สิ่งนั้นจะถูกต้อง มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าอะไรถูกหรือผิด เพราะอะไรที่ถูกในวันนี้อาจจะผิดในวันรุ่งขึ้นก็ได้ และความรู้ที่ขอยืมมาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
...
ผู้ที่เข้าใจชีวิตรู้อยู่เสมอว่าชีวิตไม่ได้ดำเนินไปตามหลักเหตุผล ชีวิตเป็นเรื่องที่อยู่เหนือหลักเหตุผล ชีวิตนั้นดำเนินไปอย่างไม่มีเหตุผล และโดยพื้นฐานมันคือความไร้เหตุผล มโนธรรมเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่าและไม่เป็นธรรมชาติด้วย มันให้แบบฉบับที่ตายตัว แต่ชีวิตดำเนินไปบนความเปลี่ยนแปลง ชีวิตเป็นสิ่งที่หาความแน่นอนไม่ได้ มันขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา หากท่านไม่มีความรู้สึกตัว ท่านก็จะมีชีวิตอย่างแท้จริงไม่ได้ ชีวิตของท่านจะมีแต่การเรียกร้องและปรากฏการณ์ที่หลอกลวง ท่านจะพลาดการมีชีวิตตลอดเวลา
...
จงมีความรู้สึกตัวและอย่าถามว่าจะพัฒนามโนธรรมได้อย่างไร ตอนนี้เรากำลังพยายามทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เรากำลังทำลายมโนธรรม มโนธรรมของชาวคริสต์ มโนธรรมของชาวฮินดู มโนธรรมของชาวมุสลิม และมโนธรรมของชาวเชน เรากำลังทำลายมโนธรรมทุกชนิด เพราะมโนธรรมมาในทุกรูปแบบและทุกมิติ
ความรู้สึกตัวหรือจิตสำนึกนั้นไม่เป็นทั้งชาวคริสต์ ชาวฮินดู หรือชาวมุสลิม มันเป็นแค่จิตสำนึกเท่านั้น มโนธรรมแบ่งแยกผู้คน แต่จิตสำนึกรวมผู้คนเป็นหนึ่งเดียว
...