วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หลักสูตรแรกของปี


ปีนี้มีโอกาสอีกครั้งที่ได้ทำงานที่ชอบ เป็นวิทยากรในหลักสูตรการจัดการความรู้สู่การปฏิบัติ : AAR .ในการทำงาน เอาหลักสูตรจากปี ๒๕๕๕ มาปัดฝุ่น ตัด BAR ออกเพราะผู้จัดไม่ต้องการ แต่เวลาทำ Workshop ก็คงไว้ในการคิดด้วยการสนทนา แบบหกด้าน แลเเชื่อมโยงให้เห็นภาพใหญ่ในการจัดการความรู้กับการบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์กร โดยเอาเรื่อง EGAT WAY ของอาจารย์วิมลไชย มาใส่ไว้ตอนต้น เอาวงจรเรียนรู้อาจารย์พินิจมาใส่ไว้ตอนกลาง

วันแรกของการอบรม ผู้เข้าอบรม มีอายุตั้งแต่ ๒๔ ปี ถึง๖๐ ปี อาชีพหลากหลาย ตำแหน่งต่างกัน ไม่มีคนช่วยเตรียมคน แต่ทุกคนเป็นนักฦึกอบรม มีจิตวิญญาณที่จะร่วมมือกันให้สำเร็์จ ผ่านวันแรกได้เมื่อจบ คิดหกด้าน ทุกคนทำ BAR โดยไม่รู้ตัวคิดว่าฝึกสนทนาแบบคิดหกด้านอยู่

ในช่วงแรกของวันที่ปูพื้นนั้นใช้เวลานานมาก เพราะมัวแต่ดูนาฬิกาหลังห้องที่ไม่เดิน เกือบเลยเวลาไป โชคดีที่เอะใจสอบถามผู้เข้าอบรมจึงได้ความว่าถึงเวลาพักแล้ว ปกติคนเราสนใจอะไรได้ไม่เกิน ๑ชั่วโมงถ้าไม่มีอาการเพลิดเพลิน ดื่มดำ เกิดขึ้นจะรำคาญมาก ต้องมีระยะเว้นเพื่อสร้างความสนใจต่อ

ได้นำการสนทนาแบบสะท้อนมาให้ทดลองในตอนแรก ท้าทายให้ตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ ให้แตะๆ กับความคิดหกด้าน ให้ทดลองสนทนาที่ก่อให้เกิดความรู้ แบบคิดหกด้าน

การสนทนานั้นยังไม่ยกระดับ ผู้คนยังคงสนทนาแบบโต้ตอบไปมาเหมือนตีปิงปอง การฟังยังไม่เกิด

ครั้งนี้ผมไม่มีกระจกภายนอกจึงตั้งกระจกภายในแบบเห็นเป็นจดซึ่งไม่ดีนัก มีบางส่วนที่พยายามสอดแทรกโดยไม่บอกตรงๆ อันนี้เริ่มทำได้บ้าง การตั้งคำถามของตนเองยังพอรับฟังได้ สิ่งที่น่าจะใส่เข้าไปคือการสนทนาที่ค่อยๆ จัดรูปการสนทนา จาก จับคู่ เป็น ๓ คน ๕ คน ก่อน เข้ากลุม การจัดห้องควรบอกไว้ว่าไม่เอาโต๊ะ บรรยาการจะได้เป็นกันเอง บรรยากาศแห่งความปลอดภัยควรเน้นให้มากๆ ตอนพูดถึง KPI ควรแตะให้มากกว่านี้ พี่เลี้ยงกลุ่มไม่มีก็ต้องพยายามมากขึ้นไปอีกหน่อยนึง

ยังต้องปรับปรุงต่อไป

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

ทับทิม จาก Facebook คุณศากุน

Sakun Pitikraisorn
วันที่ 17 กรกฎาคม 2556
;*** หายไปนานวันนี้มีเรื่องต้นทับทิมที่บ้านมาฝากค่ะ


ต้นทับทิบต้นนี้สามีได้มาเป็นของขวัญตั้งแต่ย้ายเข้าบ้านใหม่ประมาณปี 2542 จำได้เขาบอกว่าสาวๆที่โรงงานที่ไปเป็นที่ปรึกษาอยู่ให้มา 2 กระถาง ดิฉันเอาวางไว้หน้ารั้วบ้านข้างต้นลีลาวดีทั้งซ้ายและขวา จนต้นลีลาวดีดอกขาวพวงเติบใหญ่เจ้าทับทิมก็ยังขนาดเท่าเดิมอยู่ในกระถาง หน้าร้อนจะแย่หนักหน้าฝนดีขึ้นหน่อย เพราะเจ้าของบ้านคือดิฉันไม่ค่อยมีเวลาดูแลเท่าไหร่มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับงาน ที่ทำก็เพียงรดน้ำกับคอยตัดกิ่งเวลามันยื่นเกะกะน่ารำคาญตา
ผ่านไปจนถึงปี 54 น้ำท่วมบ้านสูงมาก ต้นไม้ที่ปลูกไว้เหลือรอดมาหลายต้น แต่ลีลาวดีตายค่ะ เจ้าทับทิมรอดมาต้นเดียวทั้งที่ไม่น่ารอด หลังจากล้างบ้านจัดบ้านเสร็จก็ต้องรื้อและจัดสวนใหม่ ดิฉันให้เขาถอนลีลาวดีออกและปลูกทับทิมต้นนี้ลงไปแทนเพราะในบ้านยังมีปีบต้น ใหญ่(ที่ต้องลุ้นแทบตายให้รอด) ยืนให้ร่มเงาแก่บ้านเพียงพอแล้ว ไม่อยากลงต้นใหญ่อีก และคิดว่าการที่ทับทิมต้นนี้รอดมาคงเพราะเขาเป็นต้นไม้ที่อยู่คู่บ้านนี้ จริงๆ อีกทั้งเชื่อเอาเองว่าทับทิมเป็นไม้มงคลที่ปลูกไว้หน้าบ้านน่าจะเป็นการดี เพื่อกันไม่ให้สิ่งไม่ดีเข้าบ้านค่ะ
วันนี้เขาเติบโตขึ้นกว่าสมัยที่อยู่ในกระถางมากและงามจนออกลูกน่ารักมาให้ เห็น ทั้งที่ผ่านมาสมัยอยู่ในกระถางดิฉันได้มีโอกาสเห็นดอกแค่ไม่กี่วันก็ร่วง ที่งามเพราะตั้งใจดูแลเขาแล้วค่ะ ทั้งเพิ่มดินดีๆใส่ปุ๋ยBEMทุกสองอาทิตย์
เรื่องนี้ทำให้ย้อนนึกถึงวันเวลาที่ผ่านมา ดิฉันมัวหมกมุ่นอยู่กับงานจนไม่ได้ดูแลทั้งตนเอง ครอบครัว รวมไปถึงต้นไม้ วันนี้จึงจัดเวลาพลิกกลับใหม่เป็นให้เวลากับงานน้อยลง แถมไปหาคุณหมอที่่ รพ.รามาฯ ให้ท่านช่วยจัดการกับสุขภาพให้เพราะไม่ค่อยจะดีแล้ว การที่นั่งทำงานมากและไม่จัดเวลาออกกำลังกายเลย ทำให้ดิฉันอ้วนขึ้น เป็นโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน ความดันโลหิตสูง และอาจเป็นเบาหวานในไม่ช้า ถ้าไม่รีบไปหาหมอสภาพดิฉันก็คงเหมือนเจ้าต้นทับทิมแต่ก่อนเป็นแน่
เล่ามามากมายเพราะไม่อยากให้หลายๆท่านที่มัวหมกมุ่นอยู่กับงานเช่นกันต้อง เป็นอย่างดิฉัน ต่อไปนี้ทับทิมต้นนี้จะให้ดอกผลที่ยลแล้วชื่นใจไปอีกนานแน่ๆค่ะ ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรงและมีความสุขนะคะ

Sakun Pitikraisorn
วันที่ 18 กรกฎาคม 2556
เมื่อวานเล่าถึงต้นทับทิมที่บ้านว่าช่วงเวลานี้มีเวลาดูแลเขามากกว่าแต่ก่อนที่มัวทำแต่งานจึงได้มีโอกาสเห็นผลของเขาโดยนำเขาลงดินที่ดีใส่ปุ๋ยรดน้ำสม่ำเสมอ
หากทัมทิมต้นนี้เป็นคนทำงานและดิฉันเป็นเจ้าของบริษัทเขาคงน้อยใจจนลาออกไปนานแล้วค่ะเพราะBossไม่สนใจใยดีเอาซะเลย ไม่สนว่าเป็นพันธุ์ดีมาจากไหนมีCompetencyอย่างไรเอ็งนั่งทำงานตรงนั้นก็ทำๆไปแล้วกันเก่งมั้ยเก่งก็ไม่เคยรับรู้คิดไปเองว่าเอ็งก็คงแค่เนี้ย จึงไม่ดูแลทุกข์สุขไม่ให้รางวัลที่เหมาะสมกับความอดทน เป็นคุณจะลาออกมั้ยคะ แต่คนเราบางทีก็ไม่รู้จะไปไหนดี อยู่ตรงนี้มานานทำไปบ่นไปจนชิน บางคนบ้านใกล้ก็ว่าไม่เป็นไร ก้มหน้าก้มตาทำงานไปเรื่อยๆหาความสุขใจใส่ตัวเองก็ได้
จนมาวันนี้ที่เจ้านายพึ่งเห็นว่ายามเจอภัยพิบัติลูกน้องคนนี้มีศักยภาพสามารถสู้อยู่กับบริษัทจนรอดมาได้จึงเริ่มมองเห็นคุณค่าว่านี่คือเพชรเม็ดงามที่ไม่เคยชายตามองเลย
และเมื่อเพชรเม็ดนี้ได้รับการดูแลเอาใจใส่เจียระไนอย่างดีโดยการนำเขาลงปลูกในตำแหน่งที่หมาะสมกับศักยภาพ คอยชี้แนะชื่นชมเหมือนคอยพรวนดินรดน้ำและใส่ปุ๋ยอยู่เสมอ ผลของงานก็ออกมาให้เจ้านายได้ชื่นใจดังผลลูกทับทิมที่ดิฉันได้ชื่นใจทุกครั้งที่เห็น เวลามีวัชพืชมาขึ้นเหมือนมีคนอื่นคอยอิจฉาให้ร้ายดิฉันก็คอยดูตัดออกไม่ให้มากวนใจ
ต้นไม้กับคนจึงแทบไม่ต่างกัน ท่านใดเป็นผู้บริหารคงเข้าใจเรื่องนี้กันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แล้ววันนี้ท่านเห็นเพชรในที่ทำงานที่ท่านไม่คาดคิดว่าจะมีเพราะไม่เคยเพ่งมองคุณค่าของเขาอย่างจริงใจรึยังคะหรือท่านได้ขว้างเพชรที่มีไปลงดินที่อื่นไปซะแล้ว อย่างที่มีคนเก่งและคนดีย้ายหรือลาออกจากองค์กรจากหน่วยงานไปสร้างความเจริญให้ที่อื่น กว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว
บางทีผู้บริหารแบบนี้แหละที่นำพาให้องค์กรเสื่อมลงไปเรื่อยๆ โดยผู้บริหารบนหอคอยก็ไม่รับรู้ รึคงเป็นกรรมเป็นวาสนาขององค์กรเองกระมังคะ
ถ้ายังไงก็ขอให้นึกถึงต้นทับทิมของดิฉันไว้เป็นข้อคิดก็แล้วกันค่ะ.       — at พุทธมณฑลสาย3.


ทับทิมของผม

ต้นทับทิมเมื่อแรกปลูกที่ลำปาง

ผมได้อ่านเรื่องทับทิมของคุณศากุน ตามเรื่องราวข้างต้นแล้วเกิดแรงบันดาลใจบางประการผมได้ขออนุญาตคุณศากุนเพื่อนำมาต่อยอดความคิดตามที่มีแรงบันดาลใจ ซึ่งคุณศากุนตอบว่ายินดี ผมรอเวลาเพื่อพิสูจน์บางอย่าง บางอย่างที่ผมได้ประสบกับตนเอง
ผมเองก็ย้ายต้นทับทิมจากบ้านหลังเดิมที่เคยอาศัยอยู่มาเป็นเวลาสิบกว่าปี ตัดต้นและขุดมาปลูกในบ้านหลังใหม่ รอเวลาว่าเมื่อเขาเจริญออกดอกออกผลแล้วจะได้นำมาต่อยอดจากความคิดที่คุณศากุนได้ให้ทัศนะไว้ ตอนนี้ทับทิมที่ผมตัดและขุดมาได้เติบโตและมีดอกผลให้เห็น ใช้เวลาจากที่นำมาจนถึงวันนี้ประมาณหนึ่งปีสามเดือน ทับทิมของคุณศากุณอยู่ที่พุทธมณฑลสายสาม กทม. ทับทิมของผมอยู่ที่ตำบลพิชัย อำเภอเมืองจังหวัดลำปาง ทับทิมของคุณศากุนย้ายที่ไม่ไกลได้รับการดูแลใส่ปุ๋ยเมื่อย้าย ทับทิมของผมเพียงแต่เอามาปลูกลงดินและอยู่ห่างจากที่เดิมประมาณสิบกิโลเมตร ผมไม่รู้ว่าทับทิมของคุณศากุนใช้เวลาเท่าใด แต่ถ้าประมาณจากน้ำท่วม และมาย้ายปรับปรุงแล้วลงดินที่ใหม่แล้วคงประมาณไม่ต่ำกว่าปีกับเจ็ดเดือน 


ทับทิมที่บ้านลำปางที่ย้ายมาเริ่มออกดอกและผล

ผมอยากจะตั้งประเด็นเพื่อแลกเปลี่ยกันสักสามประเด็นครับ ความหมายของทับทิม การดำรงอยู่ และการเรียนรู้
ความหมายของทับทิม
ทับทิมในความหมายของคุณศากุน "เขาเป็นต้นไม้ที่อยู่คู่บ้านนี้ จริงๆ อีกทั้งเชื่อเอาเองว่าทับทิมเป็นไม้มงคลที่ปลูกไว้หน้าบ้านน่าจะเป็นการดี เพื่อกันไม่ให้สิ่งไม่ดีเข้าบ้านค่ะ"
ในความหมายของผม "ทับทิมเป็นไม้มงคลและมีประโยชน์ทางโภชนาการ" ผมปลูกไว้ไม่หน้าบ้านนักแต่อยู่เคียงกับเสาหน้าบ้านและอยู่ด้านตะวันออก เพื่อความเป็นสิริมงคลเช่นกัน
จากความหมายนี้คุณศากุนได้จัดการที่อยู่ ดูแลและชื่นชมกับผลของทับทิม ตามสมควรจนได้ผลสมความหมายของทับทิม ในขณะที่ผมนอกจากมีใจหวังรดน้ำไม่ได้พรวนดินแถมยังจัดต้นชาดัดอยู่ที่โคนต้นเพื่อความสวยงาม ผมเชื่อของผมว่าต้นทับทิมเหมือนเสาที่สามของหน้าบ้านที่จะสร้างสิริมงคล เสี่ยงทายว่าถ้าเขาเจริญงอกงาม เราจะเจริญงอกงามไปด้วย และเพื่อผลทางโภชนาการผมหวังว่าครอบครัวเราจะได้รับประทานทับทิมนี้ด้วยครับ
การดำรงอยู่
การดำรงอยู่ของทับทิมที่คุณศากุนวาดภาพไว้ คือ "ต่อไปนี้ทับทิมต้นนี้จะให้ดอกผลที่ยลแล้วชื่นใจไปอีกนานแน่ๆค่ะ"
สำหรับผมการดำรงอยู่ของทับทิมคือการเสี่ยงทายต่อความเป็นไปของผมตามที่ได้ให้ความหมายไว้
ด้วยเหตุดังนี้ ผมและคุณศากุนคงปฏิบัติต่อทับทิมต่างกัน การดำรงอยู่เพื่อความงอกงามย่อมได้รับการดูแล ส่วนการดำรงอยู่ที่เป็นการเสี่ยงทายย่อมต้องได้รับการปล่อยปละละเลยเป็นธรรมดา
การเรียนรู้
คุณศากุนเรียนรู้โดยพูดถึง ตน ผู้บริหาร และองค์กร แล้วให้"นึกถึงต้นทับทิมของดิฉันไว้เป็นข้อคิดก็แล้วกันค่ะ" (ย้อนกลับไปอ่านอีกครั้งข้างต้นนะครับ)
สำหรับผมทับทิมทำให้ผมเรียนรู้อะไรบ้าง ทับทิมเป็นไปในชีวิตอย่างนั้นด้วยองค์ประกอบใหญ่สองประการ อย่างแรกเป็นผลที่ผู้ปลูกปฏิบัติต่อเขา และอย่างที่สองซึ่งสำคัญเขามีชีวิตของเขาอย่างนั้นเอง คำว่าชีวิตของเขานั้นต้องดำรงอยู่ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมที่เข้ามาหาและทำให้เป็นไป ธรรมชาติแวดล้อมชีวิตนั้น ดิน น้ำ ลม ไฟ ความสัมพันธ์กับชีวิตอื่นที่เกื้อหนุนและเบียดเบียน พีชด้วยกันหรือสัตว์ก็ตามแต่
อย่างแรกเป็นความสัมพันธ์ฺเชิงเดี่ยว ความสัมพันธ์นี้เป็นไปได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับผู้ปลูกเป็นสำคัญ ทะนุบำรุงหรือปล่อยปละละเลย ทะนุบำรุงมากไป ทะนุบำรุงน้อยไป ทะนุบำรุงพอดี ปล่อยปละแบบให้อิสระ ปล่อยปละแบบละทิ้ง ปล่อยปละแบบจะจับแต่แสร้งปล่อย ทั้งนี้เป็นระบบอำนาจคาดหวังบังคับกดดัน หรือระบบอุปถัมภ์ค้ำชูพึ่งพาอุปถัมป์ หรือระบบยืนหยัดด้วยความสามารถของรากแห่งตน
อย่างที่สองเป็นความสัมพันธ์เชิงสัมพัทธ์ ความสัมพันธ์นี้อาศัยโยงใยสลับซับซ้อนไม่ขึ้นอยู่กับผู้ใด ความสัมพันธ์เป็นไปในการให้และรับอย่างสมดุล อาศัยดิน น้ำ ลม แสงแดด(ไฟ) อย่างได้ดุลยภาพ รับและให้อย่างเป็นมิตรไมตรีเข้าใจในเจตจำนงของสรรพสิ่งที่สัมพันธ์อย่างเมตตาและอดทน เช่น อยู่กับแมลงที่กัดกินและผสมเกสร อยู่กับพืชอื่นอย่างแบ่งปัน ดิน น้ำ ลม และแสงแดด เป็นต้น
ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่า สรรพชีวิตล้วนมีเจตจำนงค์ในการดำรงอยู่เพื่อ เติบโต พัฒนา สู่ความสมบูรณ์ ยังความสดชื่น แจ่มใส และมีกันและกันในดุลยภาพแห่งสรรพชีวิต
จากจิตปรารถนาดี
ด้วยจิตนอบน้อม
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

ผู้เบิกทาง : คาลิล ยิบราน

บางส่วนจากหนังสือ ผู้เบิกทาง
คาลิล ยิบราน ผู้เขียน
กิติมา อมรทัต แปล

วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๗

วัดศรีรองเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง
ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่มาถึง เปลี่ียนศักราช ใจคนยังคงเหมือนเดิม 

ปีที่ผ่านมาบ้านเมืองวุ่นวาย ผู้คนมีความเห็นแตกต่างกัน เชื่อในเรื่องที่แตกต่างกัน เอาความเชื่อของตนมายึดเป็นหลัก และขัดแย้งกัน ความแตกต่างกัน และขัดแย้งกันไม่แปลกเป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติของผู้คน ชุดความคิดที่แตกต่างกัน เกิดจากศรัทธาความเชื่อ การหล่อหลอมจากสังคม การซึมซับวัฒนธรรม การอยู่ในชนชั้นที่ต่างกัน และอื่นๆ อีกมากมาย
ในประสบการณ์ของแต่ละคน เมื่อผ่านวันเวลา สิ่งต่างจึงหล่อหลอมให้เป็นคน คนที่มีชุดความคิดชุดความเชื่อที่ต่างกัน หากต่างคนต่างอยู่ในที่ทาง ชุดความคิดและความเชือนั้นยังไม่ปะทะกัน
เมื่อชุดความคิดและความเชือถูกกระตุ้น มีการรวมกันของชุดความคิดและความเชือ พลังของการหลอมรวมจึงเกิดขึ้น
เนื่องจากความงาม ความดี ความจริง ของแต่ละคนที่คิดและเชื่อ ต่างกัน เป็นคนละชุดความคิดและความเชือ เมื่อถูกจัดวางในสังคม และต่อสู้กัน การปะทะกันและความต้องการเอาชนะจึงดำเนินไปตามการกระตุ้นนั้น
การปะทะ การต่อสู้ สุดท้ายมีผล ผลที่เลือกได้ แพ้-แพ้ แพ้-ชนะ ชนะ-แพ้ และชนะ-ชนะ 
ถ้าเลือกแพ้-ชนะหรือชนะ-แพ้ อาจนำไปสู่ แพ้-แพ้ได้ 
มีวิธีการมากมายสำหรับการต่อสู้ การกระตุ้นปลุกเร้าด้วยคำพูดก็เป็นวิธีการหนึ่ง และการกระตุ้นปลุกเร้านั้นเป็นไปเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายตน และทำให้ฝ่ายตรงข้ามหมดความชอบธรรม ความชอบธรรมที่ใช้คือ ความเป์นชาติ ความดีงาม ความสุจริต และอื่นๆ ในขณะที่ความไม่ชอบธรรมคือ ไม่รักชาติ เป็นคนเลว เป็นคนโกง และอื่นๆ
เมื่อกระตุ้นปลุกเร้าไป นานเข้า นานเข้า ถ้อยคำเหล่านั้นถูกผลิตซ้ำ วันแล้ววันเล่า จนเหมือนเป็นจริงในจิตจินตนาการมา การคุกคาม การทำร้าย จะตามมา จากถ้อยคำนำไปสู่การทำลายต่อไป มีตัวอย่าง มีประวัติศาสตร์ให้เห็น แต่เราไม่ค่อยศึกษากัน

หวังว่าปีใหม่นี้ เราจะสงบ กลับมามีสติ กลับมาฟังกันและกัน กลับมารักใคร่กัน การทำลายกันและกันนั้นเป็นการทำลายตัวเองในเบื้องต้น ทำลายสังคมในท่ามกลาง และทำลายสิ่งที่เรารักในที่สุด 

หวังว่าปี 2557 นี้ เราจะนำพาจิตใจของเราให้ก้าวไป มีพัฒนาการที่เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์สังคม 
สงบ สันติ